นิทรรศการ – Love and Money : The best of British Design Now / ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ, 20 กรกฎาคม – 16 กันยายน 2550
[เจมี่ ฮิวเล็ตต์, “Gorillaz” ปี 2001, โปรเจ็คท์อัลบั้ม]
มีการพูดกันมานานถึงเศรษฐกิจของประเทศที่เติบโตขึ้นจนถึงเวลาต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการลงทุนในอุตสาหกรรมหลายประเภท จาก “รับจ้างทำของ” เป็นขายความคิดสร้างสรรค์หรือทักษะความชำนาญแทน เพราะความได้เปรียบจากการใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลืองและอาศัยแรงงานราคาถูกนั้นได้ผ่านไปแล้ว แต่เรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จกันโดยง่าย
หลายประเทศที่เป็นผู้นำด้านความคิดสร้างสรรค์และการออกแบบไม่ได้ปล่อยให้ต่างคนต่างทำตามยถากรรม แต่มีหน่วยงานที่เป็นศูนย์กลางของการแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อเรียนรู้และมองเห็นทิศทางร่วมกันมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน หากรัฐไม่ได้เป็นฝ่ายจัดการ เอกชนเขาก็รวมกลุ่มกันเอง หรือร่วมมือกันในหลายลักษณะ ขึ้นอยู่กับความตระหนักและแรงบีบคั้น อย่างญี่ปุ่นก็เปลี่ยนจากการทำของเลียนแบบมาเป็นผู้นำการออกแบบในเวลาเพียงไม่กี่ปี นับแต่การตื่นตัวในเรื่องนี้ตอนต้นทศวรรษที่ 80 เรื่อยมา
บ้านเรามีศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC : Thailand Creative & Design Center) เป็นหน่วยงานที่ให้บริการความรู้และประสบการณ์ด้านการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์ ตั้งอยู่ที่ชั้น 6 ศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม ถนนสุขุมวิท บทบาทหลักของที่นี่คือให้บริการสาธารณะ เพราะฉะนั้นผู้ที่สนใจด้านนี้ก็ควรไปใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่า ทั้งนิทรรศการถาวร “What is Design?” นิทรรศการหมุนเวียน ห้องสมุดเฉพาะด้านการออกแบบ ห้องสมุดวัสดุเพื่อการออกแบบ กิจกรรมการบรรยาย การชุมนุมทางความคิด และสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ซึ่งเท่าที่ผ่านมาการทำงานของ TCDC ได้มาตรฐานสากลและมีแต่เสียงชมเชย
และล่าสุดกับนิทรรศการ “Love and Money : The best of British Design Now” หรือ “ทำสิ่งที่รักให้เป็นเงิน : 20 ธุรกิจงานออกแบบอังกฤษ” เป็นการคัดเลือกตัวอย่างจากธุรกิจงานออกแบบของอังกฤษในปัจจุบัน ซึ่งประสบความสำเร็จในแง่ของการรักษาความสมดุลระหว่างการสร้างสรรค์กับผลประกอบการทางธุรกิจ นำมาจัดแสดงโดยร่วมมือกับ British Council และ UK Trade & Investment
เดิมทีงานออกแบบของอังกฤษจะติดอยู่กับลักษณะอนุรักษ์นิยมอันเคร่งครัด จะมีสีสันบ้างก็คงเป็นลวดลายประดับดอกไม้แบบวิคตอเรียอย่างที่เห็นในงานผ้าหรือวอลเปเปอร์ติดผนัง พอถึงทศวรรษที่ 60 วัฒนธรรมมวลชนที่ถูกกระตุ้นเร้าโดยสื่อ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ และการบริโภค กลายเป็นแหล่งสร้างแรงบันดาลใจให้คนหนุ่มสาวระเบิดทัศนะความงามอย่างใหม่ขึ้นมาในลักษณะท้าทาย ด้วยคุณสมบัติของวัตถุที่เข้าถึงง่าย ฉูดฉาดสะดุดตา และฉาบฉวย ตามไวยากรณ์ทางศิลปะแบบ “ป๊อป” (Pop Art) ต่อมาในทศวรรษที่ 70 วัฒธรรมข้างถนนของลูกหลานชนชั้นล่างที่มีพฤติกรรมขบถต่อต้านสังคมอย่างพวก “พั้งค์” (Punk) ก็เป็นระเบิดอีกลูกที่ส่งเสียงดังเข้ามาในงานออกแบบอย่างนึกไม่ถึง
จนถึงปัจจุบัน ความรุ่มรวยในงานออกแบบของอังกฤษก็เกิดจากการปะทะสังสรรค์กันระหว่างรสนิยมอันเคร่งครัดของนักอนุรักษ์กับลักษณะเอะอะมะเทิ่งอย่างไร้รสนิยม (Kitsch) ของพวก “ป๊อป” และ “พั้งค์” ประกอบกับความตื่นตัวต่อเทคโนโลยีล้ำหน้าและลักษณะจับฉ่ายผสมพันธุ์ข้ามวัฒนธรรม
หลังภาวะเศรษฐกิจถดถอยในทศวรรษที่ 90 คนหนุ่มสาวในสังคมตะวันตกเริ่มเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต จากการตั้งหน้าตั้งตาหาเงินและใช้เงินแบบพวก “ยัปปี้” หันมาใช้ชีวิตตามความพึงพอใจกันมากขึ้น จะเห็นได้จากแนวคิดของผู้ประกอบการธุรกิจงานออกแบบในอังกฤษจำนวน 20 รายที่คัดเลือกมาจัดแสดงในนิทรรศการ ซึ่งล้วนเป็นธุรกิจขนาดพอเหมาะกับกำลังความสามารถและตลาดของตน แต่ละรายมีความระมัดระวังต่อการเติบโตที่เกินตัว และพยายามรักษาคุณภาพของงานที่ตนพอใจไว้เป็นเรื่องสำคัญ
ผลงานที่นำมาจัดแสดงมีทั้งงานออกแบบสื่อ งานออกแบบผลิตภัณฑ์ และงานออกแบบสถาปัตยกรรม ทั้งหมดพอจะประมวลลักษณะเด่นได้ 3 คำ คือ “คุณภาพ” – การเน้นคุณภาพในผลงาน, “มวลชน” – การตอบสนองวัฒนธรรมมวลชน และ “ประสบการณ์ใหม่” – การสร้างประสบการณ์ใหม่ในการรับรู้
อย่าง “กราฟฟิก ธอท ฟาซิลิตี” (Graphic Thought Facility) เป็นบริษัทออกแบบที่ได้รับยกย่องว่าดีที่สุดแห่งหนึ่ง แต่ยังคงความเป็นสตูดิโอขนาดเล็ก และชอบทำงานที่ท้าทายศักยภาพในการสร้างสรรค์มากกว่า เช่นเดียวกับ “สตูดิโอ ไมเยอร์สคอฟห์” (Studio Myerscough) ของ โมแร็ก ไมเยอร์สคอฟห์ ก็มีขนาดเล็ก เพื่อจะได้มีส่วนร่วมในรายละเอียดของงานแต่ละชิ้น หรือเสื้อผ้าของ “เอลีย์ คิชิโมโตะ” (Eley Kishmoto) ก็ออกแบบจากสตูดิโอที่อยู่ชั้นบนของโรงงานตัดเย็บ และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ดังนั้นจึงมีความสดใหม่อยู่เสมอ
งานออกแบบผลิตภัณฑ์ของ ทอม ดิ๊กสัน (Tom Dixon) เน้นน้ำเนื้อของทักษะและประสบการณ์ไม่น้อยกว่ามุมมองในเชิงพาณิชย์ เช่นเดียวกับ “อินดัสเตรียล ฟาซิลิตี” (Industrial Facility) ซึ่งสามารถทำงานสัมพันธ์กับลูกค้า และสร้างความไว้วางใจด้วยความเป็นเหตุเป็นผล ขณะที่ “เอสตาบลิชด์ แอนด์ ซันส์” (Established & Sons) นำความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมของอังกฤษกลับคืนมา ด้วยการพัฒนาเครือข่ายของแหล่งผลิตและช่างเทคนิคซึ่งมีความเชี่ยวชาญชั้นสูงในด้านต่างๆ ทำให้สามารถผลิตงานที่มีคุณภาพเหนือกว่าเฟอร์นิเจอร์เจ้าอื่น
“อดัมส์ คารา เทย์เลอร์” (Adam Kara Taylor) เป็นบริษัทวิศวกรรมโครงสร้างที่มีจุดขายตรงการพัฒนาแก้ไขกระบวนการทางวิศวกรรมอยู่เสมอ โดยไม่นำเรื่องงบประมาณมาเป็นข้อจำกัด ขณะที่ “ท็อปช็อป” (TopShop) เป็นร้านค้าปลีกที่มีจุดขายตรงการจำหน่ายเสื้อผ้าแฟชั่นชั้นสูงในราคาย่อมเยา
เหล่านี้เป็นคนทำงานที่ถือคติว่าคุณภาพต้องมาก่อน แล้วอย่างอื่นจะตามมาเอง และหากสิ่งที่ตามมาทำให้คุณภาพของงานลดลง พวกเขาก็พร้อมจะหลีกเลี่ยง
สำหรับที่มาของความคิดสร้างสรรค์อันประสบความสำเร็จนั้น มักจะเกิดจากการเรียนรู้และตอบสนองต่อวัฒนธรรมมวลชน อย่าง สำนักพิมพ์เพนกวิน (Penguin Books) ซึ่งเริ่มจากความคิดที่จะจัดพิมพ์วรรณกรรมชั้นดีในรูปแบบพ็อกเก็ตบุ๊คราคาถูกเท่ากับบุหรี่หนึ่งซอง และหาซื้อได้ง่าย เพื่อให้หนังสือเผยแพร่ไปถึงมือคนจำนวนมาก แต่ก็ยังให้ความสำคัญกับการออกแบบปกอันโดดเด่น หรือหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน (The Guardian) ซึ่งลงทุนศึกษาวิจัยเพื่อออกแบบรูปลักษณ์และวิธีการนำเสนอใหม่ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปแล้ว เช่นเดียวกับการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 โดย “โฟร์ครีเอทีฟ” (4Creative) ซึ่งสร้างความเคลื่อนไหวในลักษณะก้าวนำไปข้างหน้า
นักเขียนการ์ตูน เจมี่ ฮิวเล็ตต์ (Jamie Hewlett) เคยสร้างปรากฏการณ์ในวัฒนธรรมป็อปของอังกฤษมาแล้วครั้งหนึ่ง กับ “แทงค์ เกิร์ล” ตัวละครสาวพั้งค์ขับรถถังในโลกยุคหลังสงครามนิวเคลียร์ คราวนี้เขาร่วมมือกับ เดมอน อัลบาร์น นักดนตรีหนุ่มหัวก้าวหน้าแห่งวง “เบลอร์” สร้างวงดนตรีเสมือนจริงนาม “กอริลลาซ” ซึ่งมีสมาชิกเป็นตัวการ์ตูน 4 ตัว อันเป็นส่วนผสมของวัฒนธรรมข้างถนนอย่างพวกฮิปฮอปในอเมริกากับพั้งค์เข้าด้วยกัน รวมถึงวัฒนธรรมลูกผสมหัวมังกุท้ายมังกรในยุคโลกาภิวัตน์
เบน วิลสัน (Ben Wilson) ก็เป็นนักออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมกลุ่มย่อยตามข้างถนนเช่นกัน อย่างมอเตอร์ไซค์สกู๊ตเตอร์สตุสซีย์ ฮอนด้า ซูมเมอร์ ซึ่งตกแต่งด้วยรูปลักษณ์ของสเก็ตบอร์ดและจักรยานโหลดเตี้ยแบบพวกฮิปฮอป หรืออย่าง “ฟิก ริก” โครงเหล็กทรงกลมสำหรับกล้องถ่ายภาพยนตร์มือถือ ซึ่งจะช่วยให้ช่างภาพสามารถควบคุมกล้อง เสียง และแสงได้สะดวกขึ้น เขาก็พัฒนาร่วมกับผู้กำกับ ไมค์ ฟิกกิส และจากวัฒนธรรมของคนทำหนังอิสระ
งานออกแบบเครื่องประดับของ ฌอน ลีน (Shaun Leane) เต็มไปด้วยกลิ่นอายลึกลับของประวัติศาสตร์ เช่นเดียวกับงานออกแบบสถาปัตยกรรมของ “ฟอเรนจ์ ออฟฟิศ อาร์คิเต็คท์ส” (Foreign Office Architects) ก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายของวัฒนธรรมท้องถิ่นกึ่งสากล
และไม่ใช่เพียงรับแรงบันดาลใจจากประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่มีอยู่แล้วเท่านั้น พวกเขายังพยายามสร้างประสบการณ์ใหม่ให้รับรู้ด้วย เช่น การออกแบบวิดีโอเกมส์ของ “ร็อคสตาร์ เกมส์” (Rockstar Games) ซึ่งเน้นปฏิสัมพันธ์ของผู้เล่นที่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการเลือกสร้างสรรค์เกมได้ด้วยตัวเอง ทั้งยังปรับปรุงเรื่องราว ภาพ และเสียง อย่างพิถีพิถัน หรือภาพยนตร์แอนิเมชั่นของ “เน็กซัส” (Nexus) ก็มีความแปลกตาด้วยอารมณ์ขันแบบเพี้ยนๆ ขณะที่ “นิวทรัล” (Neutral) เป็นบริษัทออกแบบสื่อดิจิตอลที่นำเสนอประสบการณ์ใหม่ด้วยจินตนาการจากการทดลองทางเทคนิคอันล้ำหน้า
งานออกแบบสถาปัตยกรรมของ โธมัส เฮทเธอร์วิค (Heatherwick Studio) สร้างประดิษฐกรรมที่เป็นความทรงจำใหม่ อย่าง สะพานม้วนโรลลิ่งบริดจ์ หรือประติมากรรมบีออฟเดอะแบงที่สูงที่สุดในสหราชอาณาจักร และงานสถาปัตยกรรมของ ซาฮา ฮาดิด (Zaha Hadid) ก็มาจากการทดลองออกแบบด้วยกระบวนการทางดิจิตอลเพื่อให้เกิดผลลัพธ์อันคาดไม่ถึงเท่าที่เทคนิคทางโครงสร้างวิศวกรรมจะรองรับ
คนทั่วไปมักจะนึกถึงงานออกแบบในแง่ของความงามอันฟุ่มเฟือยจนถึงแปลกประหลาด แต่หน้าที่เบื้องต้นของการออกแบบก็คือการตั้งโจทย์และแก้ปัญหาทั้งด้านประโยชน์ใช้สอยและสุนทรียภาพ งานออกแบบจึงสัมพันธ์กับชีวิตมนุษย์ กำเนิดมาจากมนุษย์ และรับใช้มนุษย์
อย่างตราสัญลักษณ์ของ TCDC เป็นรูปห่อใบตองเสียบด้วยไม้กลัด ซึ่งถือเป็นงานออกแบบที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน ทั้งด้านประโยชน์ใช้สอยคือเป็นวัสดุห่ออาหารที่สะดวกและย่อยสลายง่าย และด้านสุนทรียภาพก็คือรูปทรงอันงดงามลงตัว มีความเป็นธรรมชาติไม่เป็นพิษเป็นภัย และยังมีกลิ่นหอมของใบตองชวนรับประทานยิ่งขึ้น งานออกแบบเช่นนี้กำเนิดขึ้นในสังคมไทย และสอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนไทยมาแต่เก่าก่อน
ประสบการณ์การออกแบบจากอังกฤษเกิดขึ้นในเงื่อนไขปัจจัยของสังคมนั้น นอกเหนือจาก “สไตล์” ที่มองเห็นภายนอกคือความสัมพันธ์กับชีวิต นอกจากหัวข้อของนิทรรศการคือ “ความรัก” และ “เงิน” แล้ว ยังต้องมองให้เห็นถึง “ชีวิต” ด้วย เพาะงานออกแบบกำเนิดมาจากชีวิตคน และรับใช้ชีวิตคน
เช่นเดียวกัน วิถีชีวิตของคนไทยในปัจจุบันยังคงเต็มไปด้วยวัตถุดิบและโจทย์ให้นักออกแบบรื้อค้นนำไปแปรรูปเป็นงานสร้างสรรค์.