ก่อนเกิด-หลังตาย (Before Birth – After Death) / คามิน เลิศชัยประเสริฐ / นำทองแกลเลอรี่, 24 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2555
[“มีอยู่ทุกหนแห่ง ในเรา” อะคริลิกบนผ้าใบ 140x220 ซม.]
ด้วยพื้นฐานเป็นคนช่างคิด ขยันทำ และหัวก้าวหน้า มาแต่ครั้งเป็นนักศึกษา งานศิลปะของ คามิน เลิศชัยประเสริฐ โดดเด่นแปลกตาออกจากแนวนิยมของศิลปินรุ่นเดียวกัน ด้วยความสนใจเฉพาะแน่วแน่ในตนเอง งานแสดงครั้งแรกในปี 2530 หลังจบจากมหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นภาพถ่ายและภาพพิมพ์โลหะในรูปแบบเหนือจริงและสำแดงความรู้สึกภายในออกมา เพื่อสะท้อนอารมณ์เจ็บปวดรวดร้าวของความเป็นมนุษย์ ผ่านรูปทรงคนและวัตถุในกิริยาบิดเบี้ยวขัดแย้ง แสดงร่องรอยขูดขีดเสื่อมพัง
หลังจากนั้นเขาก็ไปเรียนรู้ต่อที่นิวยอร์ค งานของคามินไม่ยึดติดกับรูปแบบ เขาทดลองค้นหาวิธีการนำเสนอแปลกๆ ใหม่ๆ ที่ตรงกับความสนใจในขณะนั้นอยู่เสมอ งานช่วงแรกในนิวยอร์คยังเป็นการสำแดงความรู้สึกภายในตัวเองออกมา ด้วยงานจิตรกรรมที่วาดด้วยมือ เป็นรูปทรงและเรื่องราวเกี่ยวกับการดิ้นรนในชีวิตของมนุษย์ที่เป็นสากลมากขึ้น
ต่อมาจึงเริ่มปรากฏสัญลักษณ์ในเชิงล้อเลียนเสียดสีด้วยอารมณ์ขัน เพื่อยั่วล้อภูมิปัญญาของมนุษยชาติและสุนทรียศาสตร์ของศิลปะ ขณะที่อีกด้านหนึ่งเขาก็เริ่มมีสำนึกถึงความเป็นคนตะวันออกในตัวเอง ท่ามกลางชาวต่างชาติ และเริ่มทำงานวาดเส้นที่ได้อิทธิพลจากปรัชญาหยิน-หยาง เต๋า และเซน จนกลายเป็นลายเส้นเฉพาะตัว จากนั้นก็เริ่มตั้งคำถามถึงความเป็นไทยด้วยงานชุด “ก เอ๋ย ก ไก่” ปี 2534 ซึ่งนำพยัญชนะไทยมาเป็นแรงดลใจในการสร้างงานจิตรกรรมและภาพพิมพ์ เป็นกรอบสำรวจประสบการณ์ภายในของตัวเองตามพยัญชนะนั้น
เมื่อกลับเมืองไทยเขาก็ออกสำรวจสังคมไทยร่วมสมัย ถ่ายภาพปรากฏการณ์อันแปลกตาและกระทบใจเขา มาประทับด้วยภาพพิมพ์ที่แกะจากรองเท้าแตะ และวาดเส้นตามแบบของเขา เป็นงานชุด “นิราศไทยแลนด์” ปี 2535
คามินเริ่มวางแผนทำงานภายใต้กรอบเวลา 1 ปี ในชุด “ม่วงงิ้ง แซ่เล้า” ปี 2536 ซึ่งเป็นชื่อในวัยเด็กของเขา ด้วยงานจิตรกรรมที่แสดงออกอย่างใสซื่อตรงไปตรงมาแบบศิลปะเด็ก บันทึกความรู้สึกในแต่ละวัน และเขียนภาพขนาดใหญ่ต่อเนื่องกัน เพื่อแสดงสภาพแวดล้อมของสังคม อันมีที่มาจากเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองในเดือนพฤษภาคม ปี 2535 ด้วย นอกจากนี้ยังวาดเส้นผสมตัวอักษรในชุด “อะไรในใจฉัน” ปี 2537
การวางแผนทำงานทุกวันภายใต้กรอบเวลา 1 ปี เข้มข้นขึ้นในชุด “ปัญหา-ปัญญา” ปี 2538 เมื่อเขานำหนังสือพิมพ์รายวันมาเลือกข่าวที่กระทบใจหนึ่งข่าว แล้วพิจารณาจนตกผลึกเป็นความคิด ก่อนจะนำหนังสือพิมพ์ที่เหลือมาปั้นเป็นประติมากรรมกระดาษ ซึ่งว่าด้วยปัญหาและปัญญาที่เกิดจากการพิจารณานั้น
และเมื่อหันมาศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจัง การพิจารณาปัญหาส่วนตัวและสังคมของเขาก็อยู่บนพื้นฐานของพุทธปรัชญา ดังที่เห็นในงานวาดเส้นเชิงบันทึกบทรำพึงธรรมในชุด “ธรรมดา-ธรรมชาติ” ปี 2540 และงานวาดเส้นชุด “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” ปี 2542 ซึ่งวาดรูปลักษณ์ต่างๆ ที่ล้วนแฝงไตรลักษณ์ของสัจธรรมดังกล่าวอยู่ด้วย
คามินวางแผนการทำงานภายใต้กรอบเวลา 1 ปี ต่อเนื่องมาอีกหลายต่อหลายชุด เป็นงานวาดเส้นบ้าง จิตรกรรมบ้าง ประติมากรรมบ้าง สื่อผสมหรือติดตั้งจัดวางบ้าง เนื้อหาก็ว่าด้วยปรัชญาความคิดที่ได้จากการรำพึงธรรม สอดแทรกการล้อเลียนเสียดสีพฤติกรรมและค่านิยมของคนร่วมสมัยบ้าง
ระหว่างนั้นคามินก็ร่วมกับเพื่อนศิลปินทำกิจกรรมเชิงศิลปะและสังคมหลายโครงการ เช่น “โครงการที่นา” ปี 2541 และ “อุโมงค์ศิลปธรรม” ปี 2545 ซึ่งรวมกันเป็น “มูลนิธิที่นา” ในภายหลัง ล่าสุดคือการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์จิตวิญญาณร่วมสมัยของทศวรรษที่ 31 เพื่อให้ผู้คนมาแลกเปลี่ยนแรงบันดาลใจแก่กัน
งานชุดใหม่ของคามินคือ “ก่อนเกิด-หลังตาย” (Befor Birth – After Death) ยังคงอยู่ในวิถีการใช้ชีวิตและทำงานศิลปะของเขา เขาเริ่มโครงงานนี้ในปี 2551 ด้วยการตัดแปะวัสดุสิ่งพิมพ์ที่กระทบใจในชีวิตประจำวันลงบนกระดาษ จากนั้นก็พิจารณาให้เห็นหัวข้อรำพึงธรรม และวาดรูปหัวกะโหลกทับลงไปบนภาพ เมื่อครบ 1 ปี เขาก็เลือกชิ้นที่พอใจมาขยายเป็นงานจิตรกรรม และทำเป็นประติมากรรมจำนวนหนึ่ง
งานที่จัดแสดงจึงเป็นยอดของภูเขาน้ำแข็งจากฐานที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง คุณค่าของงานศิลปะชุดนี้จึงอยู่ที่กระบวนการทั้งหมดที่ทำมา เรียกได้ว่าอยู่ที่วัตรปฏิบัติของศิลปินเอง
ด้วยมีต้นแบบมาจากสิ่งพิมพ์ในชีวิตประจำวัน เมื่อมองอย่างผิวเผินงานจิตรกรรมสีสันสดใสเหล่านี้ละม้ายงานประเภทป็อปอาร์ต แต่ด้วยกระบวนการถือเป็นงานคอนเซ็ปต์ช่วลที่เสนอมโนทัศน์ทางศาสนา แม้จะไม่ใช้รูปแบบศิลปะประเพณี แต่กลับมีความเป็นพุทธศิลป์ร่วมสมัยที่มีพื้นฐานทางการปฏิบัติอันหนักแน่น เมื่อพิจารณารายละเอียด ภาพตัดแปะจากสื่อสิ่งพิมพ์ที่ขยายขึ้นใหญ่โตเหล่านั้น อ้างอิงข้อมูลข่าวสารที่ประสมปนเปกันตามประสบการณ์ส่วนตัวของศิลปิน แล้วแต่ผู้ชมจะตีความ แต่คามินก็สะกดทุกภาพไว้ด้วยเค้าร่างของหัวกะโหลก เล่นล้อกับรูปทรงของภาพเบื้องหลัง เสมือนต้องการบอกว่ามีความตายอยู่ในทุกหนแห่งไม่ว่าจะมองเห็นหรือคิดเรื่องอะไรอยู่ก็ตาม
เมื่อความงามย้ายไปอยู่ที่วิธีคิดหรือกระบวนการ ตัวงานศิลปะก็เป็นแค่หลักฐานบันทึกให้จับต้องมองเห็น อย่างไรก็ตามงานศิลปะยังคงต้องการธรรมารมณ์เพื่อกระทบใจผู้ชมให้คล้อยตาม ด้วยพลังความงามจากทัศนธาตุของมันเอง เพื่อพิสูจน์ว่าไม่ได้เป็นเพียงภาพประกอบการอ้างอิงของคำอธิบาย.
[พิมพ์ครั้งแรก: Vote]