[ต่อจาก ส่วนสัดตะวันตก สีสันตะวันออก (1)]
[พระที่นั่งอนันตสมาคม และผลงานจิตรกรรมประดับบนเพดานโดมในท้องพระโรงของ กาลิเลโอ คีนิ เป็นการประกาศความเป็นรัฐชาติของสยามด้วยภาษาศิลป์แบบตะวันตก]
[อาคารสถานวารีบำบัดแห่งเมืองซัลโซมัจจอเร และผลงานการตกแต่งของ กาลิเลโอ คีนิ ซึ่งแสดงสุนทรียภาพอันมลังเมลืองกลมกลืนที่เขาได้อิทธิพลมาจากสยาม]
[อาคารร้านกาแฟ กรานด์ คาฟเฟ มาร์เกริตา เป็นอีกแห่งที่ กาลิเลโอ คีนิ ร่วมตกแต่งด้วยแรงบันดาลใจจากโลกตะวันออก]
กาลิเลโอ คีนิ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2416 (ค.ศ. 1873) ในตระกูลช่างฝีมือเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงด้านศิลปะการตกแต่ง หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนศิลปะแห่งเมืองฟลอเรนซ์แล้ว เขาก็ทำงานด้านการออกแบบตกแต่ง และเป็นจิตรกรหัวก้าวหน้าซึ่งได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็ว ต่อมาเขาได้ร่วมกับลูกพี่ลูกน้องสร้างโรงงานเซรามิคและทำกระจกสีขึ้นมา แล้วได้ทดลองสร้างสรรค์รูปแบบและวิธีการใหม่ๆ จนประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
นามของ กาลิเลโอ คีนิ เป็นที่ปรากฏในฐานะหนึ่งในผู้ปฏิรูปงานด้านศิลปหัตถกรรมคนสำคัญในเวลานั้น และเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกศิลปะแนว อาร์ต นูโว ในอิตาลีที่เรียกว่า “ลิเบอร์ตี้” ด้วย งานจิตรกรรมสร้างสรรค์ส่วนตัวของเขามักจะมีเนื้อหาแฝงปรัชญาชีวิตผ่านสัญลักษณ์ในรูปแบบซิมโบลิสม์ และใช้วิธีระบายสีสดใสแตะแต้มป้ายรอยฝีแปรงอย่างรวดเร็วให้ผสานกันทางสายตา (Divisionism) งานเครื่องเคลือบดินเผาของเขาก็โดดเด่นด้วยลวดลายเส้นสีจัดจ้านอย่างการแสดงออกทางจิตรกรรม และงานศิลปะตกแต่งของเขาก็มักจะขับอาการมลังเมลืองสง่างามขึ้นมาจากความคลุมเครือลี้ลับ อันเป็นลักษณะทางสุนทรียภาพที่เขาสนใจมาตลอด
ความสำเร็จทางศิลปะของคีนิ ทั้งจิตรกรรม เครื่องเคลือบดินเผา และศิลปะตกแต่ง ปรากฏเป็นการยอมรับในระดับประเทศและนานาชาติ ดังที่เขาได้รับเกียรติให้เข้าร่วมแสดงผลงานในนิทรรศการศิลปะนานาชาติที่เมืองเวนิส หรือที่เรียกกันว่า “เวนิสเบียนนาเล” (Biennale di Venezia) อยู่หลายครั้ง
อย่างในงานเวนิสเบียนนาเลครั้งที่ 7 ปี พ.ศ. 2450 (ปี ค.ศ. 1907) กาลิเลโอ คีนิ ได้ร่วมตกแต่งห้องนิทรรศการ และแสดงผลงานจิตรกรรมกับเครื่องเคลือบดินเผาด้วย และในช่วงเวลานี้เอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่างๆ ในยุโรปเป็นครั้งที่ 2 และได้เสด็จเยือนเมืองเวนิส พร้อมกับทรงเสด็จชมงานเวนิสเบียนนาเลด้วย พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ซื้องานศิลปะกลับมาหลายชิ้น และว่ากันว่าได้ทอดพระเนตรผลงานของ กาลิเลโอ คีนิ แล้วทรงมีพระราชประสงค์ให้เป็นผู้เขียนจิตรกรรมประดับท้องพระโรงของพระที่นั่งอนันตสมาคมที่กำลังจะสร้างขึ้นใหม่ในตอนนั้น
แต่จากการตรวจสอบข้อมูลใหม่อีกครั้งของ หนึ่งฤดี โลหผล ในสูจิบัตรประกอบนิทรรศการ “100 ปี มรดกศิลป์ กาลิเลโอ คีนิฯ” เสนอว่า กาลิเลโอ คีนิ น่าจะได้รับการติดต่อในภายหลัง จากตัวแทนของรัฐบาลสยาม โดยเฉพาะภายหลังจากที่เขาได้เขียนภาพจิตรกรรมประดับโดมอาคารในงานเวนิสเบียนนาเลครั้งที่ 8 ปี พ.ศ. 2452 (ปี ค.ศ. 1909) ซึ่งมีลักษณะงานคล้ายกับจิตรกรรมบนโดมพระที่นั่งอนันตสมาคมมากกว่า และเป็นที่ทราบกันว่ารัชกาลที่ 5 ไม่ทรงโปรดงานศิลปะสมัยใหม่นัก ดังที่ทรงมีพระราชดำรัสถึงนิทรรศการครั้งนั้นว่า “แต่รูปเขียนที่มาติดนั้นเปนรูปอย่างใหม่โดยมาก คือสีเขียวแดงสดๆ แลป้ายรัวๆ” และจิตรกรรมของคีนิที่แสดงอยู่ก็เป็นภาพที่ระบายในแบบดิวิชั่นนิสม์ คือป้ายสีสดๆ รัวๆ นั่นเอง
พระที่นั่งอนันตสมาคมเริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2451 และกาลิเลโอ คีนิ ก็ได้รับการว่าจ้างให้เป็นผู้เขียนภาพเฟรสโกประดับท้องพระโรงในปี พ.ศ. 2453 ซึ่งเป็นโอกาสครั้งสำคัญของเขาในการฝากฝีมือไว้เป็นงานชิ้นเอกของชีวิต และยังได้เดินทางมาสัมผัสกับโลกตะวันออกในความเป็นจริงที่เกินกว่าจะจินตนาการถึงด้วย
ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น – ประเทศสยามก็ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญมาระยะหนึ่งแล้ว เรียกง่ายๆ ว่าเป็นการเปลี่ยนผ่านจาก “สยามเก่า” มาสู่ “สยามใหม่” หรือเปลี่ยนจากรัฐราชาธิราชแบบเดิมมาเป็นรัฐชาติสมัยใหม่อย่างประเทศตะวันตก ซึ่งเป็นกระบวนการที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตลอดรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 และโดยเฉพาะการปฏิรูปการปกครองในปี พ.ศ. 2435 ทำให้โครงสร้างของสังคมไทยที่สืบเนื่องมาแต่อดีตเริ่มก้าวเข้าสู่ความเป็นสมัยใหม่อย่างเป็นทางการ แล้วส่วนประกอบรองรับก็ค่อยปรับตัวตามมาทีหลัง ซึ่งบางส่วนก็พอจะปรับทัน แต่บางส่วนก็ยังคงเป็นปัญหาต่อมา
กระบวนการพัฒนาเข้าสู่ความเป็นสมัยใหม่ของสังคมตะวันตกนั้นใช้เวลาหลายร้อยปีต่อเนื่องกัน กว่าจะสถาปนารูปแบบของรัฐชาติสมัยใหม่ขึ้นมาได้ก็ต้องผ่านความขัดแย้งและสงครามหลายครั้ง จากการปกครองแบบนครรัฐและจักรวรรดิ ซึ่งมีความศรัทธาในศาสนจักรครอบคลุมอยู่โดยรวม มาสู่การรวมประเทศเป็นรัฐที่มีสำนึกเรื่องชาตินิยมเป็นแกนกลางเชื่อมร้อยเข้าด้วยกัน และมีสถาบันกษัตริย์เป็นศูนย์กลางของอำนาจการปกครอง หรือที่เรียกว่าเป็นการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั่นเอง
น่าสนใจว่าประเทศสยามเปลี่ยน “หน้าตา” และโครงสร้างสำคัญให้ทัดเทียมกับชาติตะวันตกในเวลาไม่กี่สิบปีเท่านั้น และเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดความขัดแย้งน้อย เห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับประสบการณ์ในประเทศอื่น ทั้งที่เกิดการถ่ายโอนอำนาจอย่างกว้างขวาง เช่น การลดอำนาจของกลุ่มขุนนางที่มีอิทธิพลอยู่เดิมลง แล้ววางโครงสร้างระบบราชการแบบใหม่ที่แบ่งงานออกเป็นกระทรวง การดึงอำนาจของเจ้าเมืองและขุนนางท้องถิ่นเข้าสู่ศูนย์กลาง แล้วส่งตัวแทนจากส่วนกลางเข้าไปปกครองแทน ตลอดจนการเลิกทาสในระบบอุปถัมภ์แบบเก่า อันถือเป็นการประกาศรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมือง
เหล่านี้ต้องถือเป็นความสามารถของกลุ่มผู้นำในสมัยนั้น ซึ่งพยายามแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศด้วยวิธีการอันชาญฉลาด เพื่อปรับเปลี่ยนการปกครองให้เข้มแข็ง พร้อมรับมือกับการเมืองระหว่างประเทศจากการมุ่งแสวงหาผลประโยชน์ของชาติตะวันตก นอกจากนี้ยังสะท้อนกลไกทางวัฒนธรรมบางอย่างในสังคมไทย ซึ่งสามารถคลี่คลายความขัดแย้งหลายเรื่องลงได้ด้วยการยอมรับนับถือกันและความเสียสละ
ก่อนหน้านี้ประเทศต่างๆ ทางตะวันออกไม่ได้ให้ความสำคัญกับชาติตะวันตกมากไปกว่าเป็นพวกนอกรีตนอกรอยจากวัฒนธรรมของตน แต่เมื่อสังคมตะวันตกเกิดการปฏิวัติความรู้และเทคโนโลยีอย่างกว้างขวาง จนเกิดประสิทธิภาพในการงานหลากหลายแขนง สังคมดั้งเดิมในดินแดนต่างๆ ก็ยากจะรับมือ นอกจากจะต้องเรียนรู้ปรับตัวตามอย่างประเทศตะวันตกบ้าง
ระยะแรกยังคงเป็นการปรับตัวอยู่บนรากฐานของตนเอง เช่น การปรับทัศนมิติในงานจิตรกรรมของขรัวอินโข่งจิตรกรเอกในสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นต้น จะเห็นว่าแม้ขรัวอินโข่งจะเขียนภาพที่มีระยะตื้นลึกใกล้ไกลตามอย่างจิตรกรรมตะวันตกด้วยความเข้าใจของตัวเอง และถึงกับเขียนภาพผู้คนและบ้านเมืองในโลกตะวันตกจากจินตนาการของตนโดยไม่เคยไปเห็นกับตามาก่อน แต่งานของเขาก็มีความสดใหม่ (original) และลงตัวในการสร้างสรรค์ จนกลายเป็นต้นแบบที่สำคัญในเวลาต่อมา ทั้งนี้เพราะเขายังคงรักษาความเป็นตัวของตัวเองในการมองโลกไว้ได้นั่นเอง
แต่เมื่อต้องการปรับเปลี่ยนในระดับโครงสร้างสังคม ระยะต่อมาก็ต้องนำเข้าสิ่งใหม่เข้ามาโดยตรง อย่างในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญและนายช่างหลายสาขาจากตะวันตกให้เข้ามาช่วยวางโครงสร้างและดำเนินงานในกิจการใหม่หลายด้าน รวมทั้งทางสถาปัตยกรรมและศิลปะที่ต้องการแสดงถึงความเจริญอย่างตะวันตก
การสร้างพระราชวังและสถานที่ราชการด้วยอาคารแบบตะวันตก และการตกแต่งแบบตะวันตก ล้วนต้องใช้นายช่างจากตะวันตกเป็นผู้ดำเนินงาน เช่นเดียวกับการเขียนภาพเฟรสโกประดับอาคารก็ต้องใช้ศิลปินผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ กาลิเลโอ คินี และผู้ช่วยของเขาคือ คาร์โล ริโกลี (Carlo Rigoli) และ โจวันนิ สะกวันชิ (Giovanni Sguanci) พร้อมคณะ จึงได้เดินทางเข้ามารับผิดชอบการออกแบบและเขียนภาพเฟรสโกบนเพดานโดมพระที่นั่งอนันตสมาคม เป็นภาพเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 6 ในรูปแบบศิลปะตะวันตก
เช่นเดียวกับขรัวอินโข่ง กาลิเลโอ คีนิ ไม่เคยรู้จักวัฒนธรรมไทยมาก่อน และเพิ่งเคยเดินทางมายังโลกตะวันออกเป็นครั้งแรก ด้วยเวลาอันจำกัด เขาจึงต้องใช้พื้นฐานประสบการณ์ส่วนตัวในการตีความเป็นงานจิตรกรรม และผลสำเร็จที่ได้ก็มีความน่าสนใจไม่น้อย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งอนันตสมาคมขึ้นใหม่แทนองค์เก่าในพระบรมมหาราชวังซึ่งทรุดโทรมมากแล้ว เพื่อใช้เป็นที่เสด็จออกมหาสมาคมเช่นกัน ตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอ-เรอเนสซองส์ (Neo-Renaissance) อันสง่างาม ออกแบบโดย มาริโอ ตามาโย (Mario Tamayo) และ อันนิบาลเล ริกอตติ (Annibale Rigotti) สถาปนิกชาวอิตาลีซึ่งทำงานให้กับรัฐบาลสยามมาหลายปีแล้ว วิศวกรและผู้ดำเนินงานส่วนใหญ่ก็เป็นชาวอิตาเลียน รวมทั้งวัสดุในการก่อสร้างอย่างหินอ่อนก็นำเข้ามาจากอิตาลีด้วย
ภาพเขียนประดับโดมพระที่นั่ง 6 ตำแหน่ง ที่ กาลิเลโอ คีนิ และคณะเป็นผู้ออกแบบและดำเนินการ ประกอบด้วย ภาพพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกรัชกาลที่ 1 เสด็จกลับมาถึงพระนคร และขึ้นครองราชย์ ภาพพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ 2 ทรงอุปถัมภ์งานศิลปกรรมให้เป็นศรีสง่าแก่พระนคร ภาพพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 เสด็จเลียบพระนครทางสถลมารค ภาพพระบาทสมเด็จพระจอมจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภกของทุกศาสนา ภาพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงประกาศเลิกทาส และภาพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระที่นั่งอนันตสมาคมจึงเป็นสัญลักษณ์แทนศิลปวิทยาการจากตะวันตกที่เข้ามามีบทบาทในสังคมสยามอย่างเต็มรูปแบบ และมีความสำคัญในฐานะสัญลักษณ์ทางการปกครองของรัฐชาติสมัยใหม่ด้วย ประกอบกับลานพระบรมรูปทรงม้าอันกว้างขวาง และถนนราชดำเนิน บริเวณดังกล่าวย่อมเป็นการเปิดภูมิทัศน์ใหม่ให้กับกิจกรรมและจิตวิญญาณอย่างใหม่ได้แสดงออกมา ตั้งแต่งานพระราชพิธีสำคัญ งานรัฐพิธีของชาติ งานกิจกรรมสาธารณะ เป็นพื้นที่ชุมนุมทางการเมือง และเป็นชัยภูมิในการปฏิวัติรัฐประหาร ตลอดจนเป็นสถานที่ประกอบพิธีของลัทธิ “เสด็จพ่อ ร.5” และเป็นฉากหลังถ่ายภาพรถยนต์ที่นิยมกันมากแห่งหนึ่ง
ขณะที่งานจิตรกรรมบนเพดานโดมทั้ง 6 ตำแหน่งก็มีความสำคัญทั้งในแง่ของประวัติศาสตร์และศิลปะ
ประการแรก เป็นการเสนอภาพของพระมหากษัตริย์ไทยในที่สมาคมอันเป็นหน้าตาของประเทศและมีความเป็นสากล ด้วยรูปแบบที่เหมือนจริงในส่วนสัดตามหลักวิชาของศิลปะตะวันตก การจัดวางเนื้อหาเน้นน้ำหนักความน่าเชื่อถือในเชิงประวัติศาสตร์ และยังเปล่งความโอ่อ่าสง่างามสมพระเกียรติ
ประการต่อมา เป็นการผสมผสานกันระหว่างศิลปะตะวันตกกับศิลปะตะวันออก จนเกิดลักษณะพิเศษ จะเห็นว่าคีนิพยายามถ่ายทอดวัฒนธรรมไทยและบรรยากาศในเมืองไทยด้วยสายตาและการตีความของเขาเอง จนเป็นแบบอย่างเฉพาะ อย่างการเขียนถึงเครื่องประกอบพระราชพิธีอย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกันก็ประดับภาพคนเปลือยเปล่าในส่วนสัดตามอุดมคติเป็นสัญลักษณ์แทนมนุษย์ผู้เป็นพลเมือง ตามเนื้อหาที่พอจะกลมกลืนเข้าด้วยกัน การใช้สีที่โปร่งและเจือสีเหลืองอยู่ในบรรยากาศก็เป็นรูปธรรมของความประทับใจในแสงสีของอากาศในโลกเขตร้อน ซึ่งต่างจากน้ำหนักทึบทึมในศิลปะตะวันตก
ภายหลัง เมื่อ กาลิเลโอ คีนิ กลับไปยังอิตาลีแล้ว เขาได้นำสุนทรียภาพของความมลังเมลืองที่ปลอดโปร่งและกลมกลืนจากเมืองสยามไปพัฒนาต่อ ดังปรากฏในงานศิลปะตกแต่ง เช่น การตกแต่งอาคารวารีบำบัดแห่งเมืองซัลโซมัจจอเร และร้านกาแฟ กรานด์ คาฟเฟ มาร์เกริตา เป็นต้น นอกจากนี้เขายังออกแบบฉากละครในมหาอุปรากรเรื่อง “ตูรันดอต” (Turandot) ของปุชชีนิคีตกวีเอกของอิตาลีด้วย ซึ่งแม้เนื้อเรื่องจะเกิดขึ้นในเมืองจีน แต่ฉากก็ปรากฏอิทธิพลจากสยามอย่างชัดเจน ส่วนงานจิตรกรรมและเครื่องเคลือบดินเผาของเขาในระยะหลังก็มีความงามอันกลมกลืนมากกว่าช่วงก่อนหน้านี้ด้วย
จากมรดกศิลป์ของคีนิบ่งบอกว่า วัฒนธรรมสยามในสายตาของเขานั้นช่างเต็มไปด้วยสีสันของความหลากหลายที่ผสมผสานกลมกลืนกันอย่างน่าอัศจรรย์ เช่นเดียวกับวิถีชีวิตในธรรมชาติของดินแดนเขตร้อน
ส่วนดอกผลของเขาในเมืองไทยก็แตกยอดต่อเนื่องเช่นกัน อย่างศิษย์เอกและผู้ช่วยของเขาคือ คาร์โล ริโกลี นั้นก็ได้รับราชการต่อในสยาม และได้ฝากฝีมือไว้พอสมควร เช่น การทำงานจิตรกรรมร่วมกับ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นต้น
และนายริโกลีผู้นี้เองที่เป็นคนมองเห็นแววของ เหม เวชกร มาตั้งแต่เด็ก และเคยสอนเหมวาดภาพ กระทั่งพาไปดูการเขียนภาพบนโดมพระที่นั่งอนันตสมาคมด้วย
หากสังเกตงานของเหมอาจจะเห็นร่องรอยของ กาลิเลโอ คีนิ ในส่วนสัดของการเขียนภาพคนอยู่บ้าง รวมทั้งการใช้แสงขับเน้นอารมณ์ของภาพในบางลักษณะ แล้วจิตรกรที่ติดตลาดอย่าง เหม เวชกร ก็เป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนในรุ่นต่อมาอีกไม่น้อย
ขณะที่ภาพจิตรกรรมบนโดมพระที่นั่งอนันตสมาคมก็เป็นที่แพร่หลาย และยังคงคุ้นตาของคนไทยมาถึงปัจจุบัน.