[ต่อจาก ชำแหละเปลือกผิววัฒนธรรม (1)]
[หนังสือ “แล่เนื้อ เถือหนัง” (ปี 2540) ของ ประชา สุวีรานนท์ เป็นเหมือนตำราการวิจารณ์ภาพยนตร์ที่เปิดมุมมองใหม่ทางทฤษฎีอย่างเป็นรูปธรรม]
[การ์ตูนชุด “แบบเรียน (กึ่ง) สำเร็จรูป” (ปี 2546) ของ เรณู ปัญญาดี วิพากษ์ชีวิตร่วมสมัยในสังคมบริโภคด้วยความเลื่อนเปื้อนบนรูปแบบที่เป็นมาตรฐาน]
[หนังสือ “ดีไซน์+คัลเจอร์” (ปี 2551) ของ ประชา สุวีรานนท์ ผนวกรวมประเด็นด้านการออกแบบกับสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน]
หลังจากทำงานออกแบบสิ่งพิมพ์อยู่ระยะหนึ่ง ช่วงปลายทศวรรษ 2520 ประชา สุวีรานนท์ ได้ไปเรียนต่อที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา เพื่อศึกษาด้านศิลปะการออกแบบที่ Parsons School of Design พร้อมกับแสวงหาความหมายของชีวิตผ่านทางการอ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง และใช้ชีวิตอยู่ในศูนย์กลางของวัฒนธรรมร่วมสมัย ซึ่งเป็นต้นทุนให้เขาทำงานวิจารณ์ภาพยนตร์อย่างเข้าถึงภูมิหลังทางวัฒนธรรมในเวลาต่อมา
กลับมาเมืองไทย เขาก็เริ่มทำการ์ตูนศิลปะชุด “แบบเรียนเร็วภาคพิสดาร” ซึ่งนำเอาตำราเรียนเก่าๆ มาลอกเลียนดัดแปลงเพื่อแสดงความขัดแย้งทางอุดมการณ์ ด้วยการใช้ภาพลักษณ์สำเร็จรูปอย่างศิลปะป็อปอาร์ต และนำเสนออย่างไร้เหตุผลจากตรรกะที่ขัดกัน อันเป็นการตีความความเป็นจริงแบบพวกเซอร์เรียลิสต์
ภาพประกอบในหนังสือแบบเรียนซึ่งใช้รูปแบบสำเร็จรูปอันคุ้นตา แสดงแบบอย่างในอุดมคติของสังคมที่มีระบบระเบียบดีงาม เป็นภาพลักษณ์ที่มีมาตั้งแต่สมัยรัฐนิยมของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ประชานำมาทำใหม่ด้วยการแต่งเติมวัตถุและถ้อยคำที่ต่างบริบทกันลงไปในภาพ เพื่อให้ความเหนือจริงนั้นย้อนแย้งถึงความเป็นจริงว่าไม่ได้เป็นไปตามแบบแผนในอุดมคติที่บอกสอนกันมา
เช่น จากภาพนักเรียนเดินไปโรงเรียนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เขาก็นำมาเขียนใหม่เป็นภาพนักเรียนเดินไต่เชือกไปโรงเรียน เบื้องล่างเป็นหุบเหว และมีนักเรียนบางส่วนตกลงไปแล้ว พร้อมบรรยายว่า “หนทางที่มุ่งไปสู่ความสำเร็จนั้น หาได้ปูด้วยกลีบกุหลาบไม่ ผมมักครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ระหว่างเดินทางไปโรงเรียน”
ส่วนภาพอื่นๆ ก็จะแฝงนัยของความรุนแรง จากการแปลกแยกระหว่างรูปแบบที่เป็นระเบียบเรียบร้อย กับเนื้อหาที่ก่อกวนความคิดในแบบแผน สะท้อนบรรยากาศในสังคมช่วงก่อนและหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ผ่านการวิพากษ์ระบบการศึกษา ซึ่งเป็นเครื่องมือปลูกฝังความเป็นพลเมืองในสังคมสมัยใหม่นั่นเอง
เข้าใจว่างานชุดนี้ไม่ได้เผยแพร่ในวงกว้าง เคยเห็นบ้างในนิตยสาร “บานไม่รู้โรย” ช่วงที่ สุชาติ สวัสดิ์ศรี เป็นบรรณาธิการ และปรากฏอยู่ในส่วน “คำนำผู้เขียน” ของหนังสือ “แบบเรียน (กึ่ง) สำเร็จรูป” ซึ่งเขานำมาทำใหม่ในอีกสิบกว่าปีต่อมาในนาม “เรณู ปัญญาดี”
ปี 2532 ประชา สุวีรานนท์ เริ่มทำงานวิจารณ์ภาพยนตร์อย่างจริงจัง ด้วยการจับประเด็นอันคมคาย และพื้นความรู้ที่บ่งบอกว่าเขาศึกษาตำรับตำราด้านภาพยนตร์มาอย่างรอบด้าน จนกระทั่งเป็นอาจารย์พิเศษบรรยายวิชาทฤษฎีภาพยนตร์ในมหาวิทยาลัย พร้อมกันนั้นเขาก็เริ่มศึกษาทฤษฎีสัญศาสตร์โครงสร้าง ร่วมอยู่ในกลุ่มของนักวิชาการอย่าง นพพร ประชากุล, ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ และ อิสระ ชูศรี แล้วนำมาใช้ในการวิจารณ์ภาพยนตร์มากขึ้นตามลำดับ
บ้านเรามีนักวิชาการที่เล่นกับทฤษฎีโครงสร้างนิยม หลังโครงสร้างนิยม และสัญวิทยา อยู่ด้วยกันหลายกลุ่ม แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับของการใช้งานเพื่อศึกษาวิเคราะห์ลงลึกในศาสตร์ต่างๆ ทั้งสังคมวิทยา มานุษยวิทยา ประวัติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ แต่กลุ่มของ นพพร ประชากุล จะชัดเจนในการแปลความหมายของทฤษฎีตามต้นกำเนิดมากกว่า เพราะแนวคิดเหล่านี้พัฒนาอยู่บนฐานความรู้ด้านภาษาศาสตร์ และแตกแขนงอยู่ในแวดวงปรัชญาวิชาการของฝรั่งเศสเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นนักวรรณคดีฝรั่งเศสอย่างนพพรย่อมเป็นสะพานสำคัญในการเชื่อมต่อเข้ากับบริบทสังคมไทยด้วยความเข้าใจที่ใกล้เคียงกับบริบทเดิมของมัน
นพพรเคยชี้ให้เห็นความสำคัญของทฤษฎีสัญศาสตร์โครงสร้างว่า มันช่วยทำลายความมั่นใจในตนเองจนอหังการของแนวคิดแบบมนุษยนิยมตะวันตกลง หลังจากลัทธิมาร์กซ์ลดทอนมนุษย์ลงเป็นแค่ผลพวงของปัจจัยการผลิต และทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์ก็ลดทอนมนุษย์ลงเป็นแค่ผู้ป่วยไข้จากความเก็บกดในจิตใต้สำนึก สัญศาสตร์โครงสร้างก็แลเห็นว่ามนุษย์เป็นเพียงหุ่นเชิดของระบบความหมายที่สัมพันธ์กันอยู่ในสังคมเท่านั้น มนุษย์จึงไม่ใช่ผู้กระทำการตามเจตจำนงของตน แต่เป็นผู้ถูกกระทำผลักดันจากอำนาจอื่นเสมอ
ตั้งแต่ทศวรรษ 2530 เรื่อยมา นพพรเป็นเหมือนเอื้อยใหญ่ในการเผยแพร่ทฤษฎีความรู้ดังกล่าว ผ่านบทความและการวิจารณ์วรรณกรรม ประจวบเหมาะกับความสนใจเรื่องโพสต์โมเดิร์นแพร่ขยายไปในวงกว้าง การอธิบายของเขาจึงตอบสนองต่อความสงสัยหลายข้อได้กระจ่าง ขณะที่ชูศักดิ์นำทฤษฎีเหล่านั้นมาอ่านวรรณกรรมทั้งไทยและเทศ และยังนำมาอ่านวัฒนธรรมของชนชั้นกลางในยุคเศรษฐกิจฟองสบู่ด้วย ส่วน อิสระ ชูศรี ก็เคยทดลองเขียนเป็นเรื่องสั้น
หนังสือรวมบทวิจารณ์ภาพยนตร์ “แล่เนื้อ เถือหนัง” (ปี 2540) ของ ประชา สุวีรานนท์ รวมบทวิจารณ์ตั้งแต่ปี 2532-2539 การจัดกลุ่มเนื้อหาออกเป็น 3 ภาค ตามวิธีการตีความหนัง และเขียนคำอธิบายประกอบ ทำให้หนังสือเล่มนี้มีคุณค่าเพิ่มขึ้นในฐานะตำราการวิจารณ์ที่เปิดมุมมองใหม่อย่างเป็นรูปธรรม นอกเหนือจากการรวมบทวิจารณ์ที่เข้มข้นคมคาย
และการแบ่งกลุ่มดังกล่าวยังแสดงพัฒนาการทางความคิดของประชาด้วย คือไล่เรียงตั้งแต่ “1. หนังกับเนื้อ : หนังในฐานะที่เป็นเรื่องเล่า” (Film as Narative) “2. หนังกับพังผืด : หนังในฐานะที่เป็นสัมพันธบท” (Film as Intertextuality) และ “3. สันนอกกับสันใน : หนังในฐานะที่เป็นวาทกรรม” (Film as Discourse)
ตามคติการทำงานของนักวิจารณ์กลุ่มนี้นั้น พวกเขาจะเน้นการ “วิจักษณ์” ให้แม่นยำก่อนที่จะ “วิจารณ์” หมายความว่าผู้วิจารณ์จะต้องอ่านความหมายของตัวบทตามปกติได้เสียก่อน แล้วค่อยพลิกแพลงหาความหมายอย่างพิสดารตามต้องการ เพื่อจะได้ไม่มั่วจนหลุดลอยออกจากตัวบทรองรับ
บทวิจารณ์ในส่วน “หนังกับเนื้อ” ของประชาก็เน้นไปที่การทำความเข้าใจกับเรื่องเล่าของหนังเป็นหลัก ส่วนประเด็นที่เขาสนใจโดยมากจะเป็นปัญหาระหว่างปัจเจกกับสังคมในลักษณะที่กระเดียดไปทางการเมืองหลายระดับ ซึ่งพอจะมองเห็นอารมณ์ร่วมในความขัดแย้งบางประการ
บทวิจารณ์ในส่วน “หนังกับพังผืด” เป็นการชี้ให้เห็นการอ้างอิงกันของหนัง ทั้งที่โดยตั้งใจลอกเลียนเพื่อคารวะหรือล้มล้าง อย่างหนังในยุคโพสต์โมเดิร์นทั้งหลาย หรืออ้างอิงโดยไม่ได้ตั้งใจแต่อยู่ในระบบความหมายเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อสลายความเป็นเอกเทศของหนัง ทำให้หนังไม่ได้เป็นผลงานของผู้สร้างเท่านั้น แต่เป็นผลผลิตของสังคมที่แวดล้อมมันอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นปัจเจกจึงไม่ได้แปลกแยกจากสังคม แต่ปัญหาของปัจเจกก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมนั่นเอง
บทวิจารณ์ในส่วนสุดท้ายคือ “สันนอกกับสันใน” เป็นการเปิดเผยให้เห็นว่าความหมายในหนังนั้นมีอยู่ 2 ระดับ คือ ระดับเรื่องเล่าธรรมดา กับระดับวาทกรรมหรือปฏิบัติการของอุดมการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งที่แฝงอยู่ในเรื่องเล่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวพันกับความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ประชาเริ่มใช้ทฤษฎีสัญศาสตร์โครงสร้างอย่างเต็มประสิทธิภาพ ชำแหละเปลือกผิวให้เห็นถึงความหมายแฝงอันน่าตื่นตะลึง เช่น การชี้ให้เห็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างชายหญิงที่เปลี่ยนไปในหนังหลายเรื่อง
จากการอ่านวาทกรรมในหนังของประชาจะพบว่า ส่วนใหญ่ตัวร้ายในความหมายแฝงนั้นคือผู้ที่ทำให้ธรรมเนียมนิยมอันมั่นคงของสังคมสั่นคลอนนั่นเอง ปัจเจกจึงอาจจะคุกคามต่อสังคมได้ด้วยลักษณะอันผิดแผกไปจากแบบแผน แต่ก็มักจะเป็นประเด็นความขัดแย้งที่ทำให้หนังเรื่องนั้นก้าวหน้าขึ้นด้วย
ประชามีท่าทีสนุกสนานมากขึ้นในการวิจารณ์หนังชุดต่อมา อย่างที่รวมไว้ในหนังสือ “แล่เนื้อ เถือหนัง เล่มสอง” (ปี 2542) ซึ่งรวมบทวิจารณ์ตั้งแต่ปี 2539-2542 จากเสียงเล่าจะพบว่าความรู้สึกร่วมในเรื่องเล่าของหนังนั้นลดลง และเป็นมุมมองที่ลอยตัวอยู่เหนือเรื่องราวทั้งหมดในฐานะผู้สังเกตการณ์แทน เขานำทฤษฎีอันหลากหลายมาใช้ผสมผสานกัน เพื่อถอดรื้อความหมายที่แฝงอยู่ในระดับต่างๆ โดยแบ่งกลุ่มของบทวิจารณ์ออกเป็นประเภทของหนัง คือ หนังแนวนิยายวิทยาศาสตร์ (Science-Fiction) หนังแนวดรามา (Drama) หนังแนวตลกขบขัน (Comedy) และหนังแนวแอ็กชั่นและสงคราม (Action & War) เหมือนต้องการจะบอกว่า หนังทุกแนวสามารถนำมาถอดรื้อหาความหมายแฝงได้ด้วยกันทั้งนั้น
และความหมายที่เขาเลือกมาอภิปรายส่วนใหญ่จะเป็นประเด็นเกี่ยวกับสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ซึ่งซุกซ่อนอยู่ในเรื่องเล่าของหนัง เปรียบไปแล้วทฤษฎีสัญศาสตร์โครงสร้างก็เป็นเหมือนเม็ดยาสีแดงที่นีโอเลือกกิน เพื่อออกจากโลกอันลวงตาของเดอะเมทริกซ์ แล้วลงไปผจญภัยในความจริงอันสลับซับซ้อน ซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้ผิวเปลือกของโลกใบนั้น และประชาก็คือนีโอซึ่งปลดปล่อยตัวเองออกจากความจริงที่สังคมหยิบยื่นให้แบกรับ ก่อนที่จะกลับมาช่วยปลดปล่อยความหมายของตัวบทต่างๆ ให้เป็นอิสระ ด้วยการถอดรื้อรหัสในโครงสร้างของสัญญะ คล้ายกับแฮกเกอร์ที่ถอดรื้อระบบการทำงานของโปรแกรมคอมพิวเตอร์
เพราะฉะนั้นเมื่อเขานำการ์ตูนชุด “แบบเรียนเร็วภาคพิสดาร” กลับมาทำใหม่อีกครั้งในปี พ.ศ. 2542 ในชื่อ “เรณู ปัญญาดี” และรวมเล่มเป็นหนังสือ “แบบเรียน (กึ่ง) สำเร็จรูป” (ปี 2546) นั้น เขาก็เปลี่ยนโปรแกรมการคิด จากวิธีการนำเสนอวัตถุเชิงจิตตาพาธ-วิพากษ์ที่ก่อกวนระบบเหตุผลอย่างพวกเซอร์เรียลิสต์ มาเป็นการรื้อสร้างระบบการสื่อความหมายในสังคมตามทฤษฎีสัญศาสตร์โครงสร้างแทน และผลที่ได้ก็คือการเปลี่ยนความรู้สึกแปลกแยกแบบฝันร้ายภายใต้ความสงบเรียบร้อย กลายเป็นความรู้สึกเลื่อนเปื้อนจากความหมายที่ลอยตัวจนเหลวไหลเลอะเทอะ สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลง จากสังคมประชาธิปไตยครึ่งใบกึ่งรัฐราชการที่เก็บกดปิดกั้นความจริงบางส่วนไว้ไม่เปิดเผยทั้งหมด มาเป็นสังคมประชาธิปไตยทุนนิยมบริโภคที่ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายอย่างไร้ทิศทางจนไม่รู้ว่าอะไรคือความจริง
เนื้อหาของหนังสือแบ่งออกเป็น 4 บท คือ “บทที่ 1. พ่อมาจากดาวคลองถม” เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ครอบครัวสมัยใหม่ที่สมาชิกแต่ละคนต่างหมกมุ่นกันไปคนละทิศละทาง ตามวิถีแห่งการบริโภคของตน “บทที่ 2. หางดาบ ดอตคอม” เป็นการวิพากษ์วิจารณ์เครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมและวิธีคิดของผู้คนที่ใช้มัน “บทที่ 3. ดักแด้วันนี้ ดักดานวันหน้า” เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ระบบการศึกษา ซึ่งยิ่งปฏิรูปก็ยิ่งผิดเพี้ยน เพราะความหมายไม่ตรงตามความเป็นจริงตั้งแต่ต้นแล้ว และ “บทที่ 4. ก้ำกึ่งรายครึ่งสัปดาห์” เป็นการวิพากษ์วิจารณ์สังคมในยุคข้อมูลข่าวสาร ซึ่งความรู้แพร่กระจายไปโดยไร้บริบทที่สมเหตุสมผลรองรับ จนไม่อาจจับต้องสาระที่จริงจังได้เลย
หากหนังสือแบบเรียนเป็นการเตรียมความพร้อมให้เป็นพลเมืองที่ดีของสังคม หนังสือ “แบบเรียน (กึ่ง) สำเร็จรูป” คงเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อทำใจกับความเป็นจริงอันเลื่อนเปื้อนไม่ตรงกับความหมายที่บอกสอนกันมา กล่าวได้ว่าเป็นการก้าวพ้นความเชื่อมั่นในอุดมการณ์อย่างไร้เดียงสา เพื่อรู้เท่าทันความยอกย้อนในการประกอบสร้างแบบแผนทางวัฒนธรรมเหล่านั้นขึ้นมา
ตั้งแต่ปี 2549 ประชาหันมาเขียนถึง “ดีไซน์” หรือการออกแบบอย่างจริงจัง ดังปรากฏเป็นคอลัมน์ “ดีไซน์ คัลเจอร์” ในนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ และรวมเล่มเป็นหนังสือ “ดีไซน์+คัลเจอร์” (ปี 2551) เป็นชุดแรก แน่นอนว่าส่วนผสมของ “ปัญญาชนเดือนตุลา” “นักวิจารณ์แนวสัญศาสตร์โครงสร้าง” และ “กราฟิกดีไซน์เนอร์” รวมอยู่ในงานชุดนี้อย่างบริบูรณ์ นอกจากผู้อ่านจะได้ความรู้เรื่องการออกแบบ และรับรู้ทรรศนะการตีความของผู้เขียนแล้ว ยังเชื่อมโยงความเข้าใจไปยังพื้นหลังทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ได้อย่างรอบด้าน
“ดีไซน์+คัลเจอร์” (Design+Culture) ก็คือการผนวกรวมประเด็นด้านการออกแบบเข้ากับสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมที่สัมพันธ์กันอยู่นั้น หนังสือแบ่งเนื้อหาออกเป็น 5 ส่วน ตามคำสำคัญทางการออกแบบ คือ 1. Identity 2. Style 3. Icon 4. Information และ 5. Object
“Identity” จะว่าด้วยเรื่องของอัตลักษณ์ ประชามองเห็นความเลื่อนไหลหลากหลายของตัวตนทางวัฒนธรรมในสังคมปัจจุบัน ซึ่งกระทบต่อการออกแบบด้วย เช่น ปรากฏการณ์ของตัวพิมพ์ลูกผสมระหว่างรูปอักษรไทยกับตัวอักษรภาษาโรมัน และการใช้ภาษาอังกฤษแบบไทยๆ หรือ “Thinglish” ซึ่งเคยถือกันว่าผิดไปจากแบบแผน กลับเป็นที่ยอมรับกันมากขึ้นว่าเป็นเรื่องธรรมดา เช่นเดียวกับความเป็นไทยซึ่งเคยอ้างอิงอยู่กับวัฒนธรรมตามประเพณีในอดีต กลับมาเชิดชูลักษณะแบบไทยๆ หรือ “Very Thai” ที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวันของคนไทยปัจจุบันว่ามีความโดดเด่นเป็นตัวเองไม่ซ้ำใครเช่นกัน
ส่วน “Style” นั้น ประชาจะชื่นชมแบบฉบับในงานของนักออกแบบที่มี “ไหวพริบปฏิภาณ” เป็นพิเศษ เขาชอบงานที่ไม่ได้ตกแต่งประดับประดามากนัก แต่มีความคมคายจับใจในวิธีคิด เช่น โปสเตอร์ “WAR IS OVER!” ที่ จอห์น เลนนอน และ โยโกะ โอโนะ ร่วมกันทำในปี ค.ศ. 1969 เขาก็ยังยกย่องว่าเป็นงานกราฟิกดีไซน์ที่เรียบง่าย แต่ทรงพลังของความหมาย และยังส่งผลสะเทือนต่อสังคมมาถึงปัจจุบันในบทบาทของการต่อต้านสงคราม
การวิเคราะห์ด้วยวิธีวิทยาแบบสัญศาสตร์โครงสร้างย่อมสัมฤทธิผลต่อการถอดความหมายในการทำหน้าที่ภาพแทนของ “Icon” อย่างที่ประชาชี้ให้เห็นการกลายพันธุ์ของความหมายในเครื่องหมายสวัสดิกะ ซึ่งเดิมทีเป็นสัญลักษณ์แทนสิ่งมงคลในหลายวัฒนธรรม แต่เมื่อพรรคนาซีเยอรมันนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของตน เครื่องหมายนี้ก็ถูกเข้าใจว่าเป็นภาพแทนของเผด็จการ เช่นเดียวกับ “รถถัง” ที่เป็นทั้งสัญลักษณ์ของการ “ปลดปล่อย” และ “ปราบปราม” ในหน้าประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา
หน้าที่หนึ่งของการออกแบบกราฟิกเกี่ยวพันกับการนำเสนอข้อมูล อย่างที่ประชาชี้ให้เห็นความสำคัญในส่วนของ “Information” เขายกตัวอย่างว่าคนเราจะรับรู้ข้อมูลได้ดีเมื่อเปรียบเทียบกับมุมมองของตัวเอง เช่น การแทนที่จำนวนตัวเลขด้วยภาพถ่ายตามข้อเท็จจริง การออกแบบแผนที่เป็นภาพแทนสื่อความหมายถึงอุดมการณ์ต่างๆ หรือการออกแบบแผนที่รถไฟใต้ดินด้วยมุมมองของความสะดวกในการเดินทาง แทนที่จะอ้างอิงสภาพภูมิศาสตร์บนพื้นดินตามความเป็นจริง เช่นเดียวกับการออกแบบนิทรรศการหรือพิพิธภัณฑ์ที่เน้นการสร้างประสบการณ์ร่วมให้แก่ผู้เข้าชม นอกเหนือจากข้อมูลที่ต้องการบอกกล่าว
และการกล่าวถึง “Object” หรือตัวผลิตภัณฑ์งานออกแบบนั้น ประชาก็ยกตัวอย่างการออกแบบที่เกินเลยทั้งในด้านประโยชน์ใช้สอยและความงาม แต่กลับประสบความสำเร็จยิ่ง ขณะเดียวกันเขาก็กล่าวถึงการออกแบบอีกฟากหนึ่ง ซึ่งอิงอยู่กับข้อมูลการวิจัยจนรูปแบบเกือบจะจืดสนิท แล้วยังเห็นว่าบางครั้งงานออกแบบก็สถาปนาคุณค่าของตัวมันเองขึ้นมาเป็นอาณาจักรเฉพาะ ซึ่งหลุดลอยออกจากชีวิตความเป็นอยู่ที่เป็นจริง
หากจะจับน้ำเสียงในเชิงประเมินคุณค่าของประชาจะพบว่า เขาค่อนข้างพึงพอใจกับงานที่มีแบบแผนทางความคิดอันเรียบง่ายสมเหตุสมผล และแฝงความลุ่มลึกสง่างามอยู่ด้วย ขณะที่จะเยาะหยันต่อความเลื่อนเปื้อนปะปนกันอย่างไร้รสนิยม รวมทั้งลักษณะที่ขาดหรือเกินไปจากความพอเหมาะพอสม
และเมื่อมองย้อนกลับไปอาจพบว่าความเป็นปัญญาชนของประชาไม่ได้ต่อต้านแบบแผนทางสังคมของชนชั้นกลางเลย เขาต่อต้านความเลื่อนเปื้อนที่ไม่ได้เป็นไปตามแบบอย่างในอุดมคติมากกว่า ทั้งที่เกิดจากการเก็บกดปิดบังด้วยเรื่องโกหกหลอกลวงที่ไม่เป็นจริง และจากการปล่อยปละละเลยจนเหลวไหลเลอะเทอะตามกันไปหมด
ลักษณะเช่นนี้เป็นท่าทีทางการเมืองของชนชั้นกลางทั่วไปด้วย เพราะคนกลุ่มนี้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และมีความรู้อันก่อให้เกิดความคิดอ่านเป็นตัวของตัวเอง ดังนั้นจึงมีอำนาจในการต่อรองทางการเมืองพอสมควร แต่อุดมคติเรื่องประชาธิปไตยของชนชั้นกลางก็ยังไม่สมบูรณ์ เพราะโครงสร้างของระบบการปกครองและสำนึกในเชิงขนบธรรมเนียมยังไม่ได้พัฒนาอย่างครบถ้วนทุกด้าน หลังจากผ่านการอุปถัมภ์แกมควบคุมของชนชั้นนำในระบบรัฐราชการแบบเดิมมาแล้ว พวกเขาก็ต้องเผชิญกับความไม่รู้ของชนชั้นล่างซึ่งมีส่วนในการกำหนดคะแนนเสียงเลือกตั้ง และเป็นเหยื่อล่อลวงของนักการเมือง แล้วประชาธิปไตยแบบตัวแทนที่ไม่ได้เป็นไปตามความหมายอันแท้จริงก็จะส่งผลให้การบริหารประเทศไม่อาจมีประสิทธิภาพได้อย่างที่ต้องการ
หากเปรียบอุดมคติของชนชั้นกลางกับรสนิยม “เรียบ-หรู-ดูแลยาก” ของการออกแบบสมัยใหม่ในแนว “Minimalism” ความนึกคิดของชนชั้นล่างคงมีลักษณะ “ง่าย-หยาบ-ขัดหูขัดตา” ตามรสนิยมแบบ “Very Thai” ที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวันของชาวบ้านธรรมดา ความแตกต่างนั้นเป็นช่องว่างที่ปล่อยให้เรื้อรังกันมานาน จะนำรูปแบบทั้งสองแนวมาอยู่ร่วมกันอย่างไรให้ลงตัว นักออกแบบคงคิดกันหัวแทบระเบิด
แต่ขณะที่คนทั่วไปมองว่าความขัดแย้งคือปัญหา นักออกแบบที่ประสบความสำเร็จกลับเห็นว่าปัญหานั้นคือเนื้อนาแห่งการสร้างสรรค์
อย่างที่ประชาเล่าถึง อลัน เฟลทเชอร์ กราฟิกดีไซน์เนอร์ที่เขายกย่อง ซึ่งมีแนวทางการทำงานว่า “ทางแก้อยู่ในตัวปัญหา” (Solution is in the problem)
ความสำเร็จของเฟลทเชอร์เกิดจากความคิดที่ว่า “เราเชื่อว่าปัญหาหนึ่งๆ มีหลายทางแก้ แต่ทางแก้ที่ดีน่าจะเกิดจากการศึกษาปัญหาอย่างจริงจังจนเกิดความเข้าใจในลักษณะเฉพาะของตัวปัญหานั้นๆ เราไม่ควรคิดไว้ก่อนว่าดีไซน์จะต้องดูดีขนาดไหน หรือมีกราฟิกสไตล์อะไรเตรียมไว้ล่วงหน้า วิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้ผลงานมีความสดใหม่หรือ original” (จาก “ดีไซน์+คัลเจอร์”, หน้า 76)
มิใช่แค่งานออกแบบเท่านั้น แต่เป็นคำแนะนำที่ดีต่อการสร้างสรรค์ทุกอย่าง.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น