วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ชำแหละเปลือกผิววัฒนธรรม (1)

“ศึก” หรือ “สมานมิตร’17” หนังสือรุ่นของสวนกุหลาบวิทยาลัยปี 2517 ซึ่งมีรูปแบบที่ผิดไปจากประเพณีที่ผ่านมา

[“ศึก” หรือ “สมานมิตร’17” หนังสือรุ่นของสวนกุหลาบวิทยาลัยปี 2517 ซึ่งมีรูปแบบที่ผิดไปจากประเพณีที่ผ่านมา]

นิทรรศการ “10 ตัวพิมพ์กับสังคมไทย” เมื่อปี 2545 เป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาองค์ความรู้ด้านกราฟิกดีไซน์ในบ้านเรา

[นิทรรศการ “10 ตัวพิมพ์กับสังคมไทย” เมื่อปี 2545 เป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาองค์ความรู้ด้านกราฟิกดีไซน์ในบ้านเรา]

ปกหนังสือ “อ่าน (ไม่) เอาเรื่อง” (ปี 2545) ของ ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ แสดงแนวคิดแบบโครงสร้างนิยมและรื้อสร้างอยู่ในการออกแบบนั่นเอง

[ปกหนังสือ “อ่าน (ไม่) เอาเรื่อง” (ปี 2545) ของ ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ แสดงแนวคิดแบบโครงสร้างนิยมและรื้อสร้างอยู่ในการออกแบบนั่นเอง]

ด้วยวิชาชีพ ประชา สุวีรานนท์ เป็น “กราฟิกดีไซน์เนอร์” หรือนักออกแบบนิเทศศิลป์ ทำงานอยู่ในแวดวงโฆษณามานานร่วม 20 ปีแล้ว จนกระทั่งรับผิดชอบอยู่ในตำแหน่งระดับผู้บริหารของ เอส.ซี. แมทช์บอกซ์ บริษัทโฆษณาชั้นนำแห่งหนึ่ง แต่ชื่อของเขาจะเป็นที่รู้จักคุ้นเคยจากการทำงานวิจารณ์ภาพยนตร์มากกว่า ด้วยการตีความผ่านทฤษฎีในแนว “สัญศาสตร์โครงสร้าง” จนได้รับรางวัลบทวิจารณ์ดีเด่นจากกองทุน ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ เมื่อปี 2537 ขณะที่ความคิดอันเข้มข้นคมคายเหล่านั้นก็สั่งสมมาจากสำนึกเชิงสังคมการเมืองในพื้นฐานความเป็น “ปัญญาชนเดือนตุลา” ของเขานั่นเอง

บทบาทของ “ปัญญาชนเดือนตุลา” “นักวิจารณ์แนวสัญศาสตร์โครงสร้าง” และ “กราฟิกดีไซน์เนอร์” ผสมผสานอยู่ในตัวตนของประชา และต่างส่องสะท้อนส่งเสริมซึ่งกันและกัน

การเติบโตในบรรยากาศทางปัญญาหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ปี 2516 หล่อหลอมให้ประชามีความสนใจในปัญหาของสังคม และนำไปสู่ความเข้าใจในโครงสร้างทางเศรษฐกิจการเมืองซึ่งเป็นเงื่อนไขกำหนดความเป็นไปในสังคมนั่นเอง แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์ 6 ตุลาคม ปี 2519 ความขัดแย้งที่ทับซ้อนกันและระเบิดออกมาเป็นความรุนแรงจนสูญเสียเลือดเนื้อ ย่อมก่อให้เกิดบาดแผลและความกังขาให้แก่หลายฝ่ายเป็นเวลานับสิบปีต่อมา และภายใต้ความนิ่งงันสับสนนั้นก็มีการตั้งคำถามในด้านลึก และการแสวงหาคำตอบที่กว้างไกลออกไปกว่าเดิม

การจับประเด็นอย่างแม่นยำจากภาพยนตร์ในบทวิจารณ์ของ ประชา สุวีรานนท์ เป็นผลโดยตรงจากความเป็นปัญญาชนที่เคยออกกำลังทางความคิดมาอย่างสม่ำเสมอ ยามที่เขาเขียนถึงหนังที่มีเนื้อหาเกี่ยวพันกับการเมืองหรือปัญหาสังคม จะเห็นได้ชัดถึงพื้นฐานความรู้และอารมณ์ร่วมอยู่ในการตีความ จนลักษณะการทำงานวิจารณ์ของเขาคล้ายกับนักวิชาการที่หันมาศึกษาเนื้อสารที่อยู่ในภาพยนตร์ มากกว่าจะเป็นนักวิจารณ์มืออาชีพที่มักจะเน้นศิลปะของภาพยนตร์เป็นสำคัญ

และการเก็บความในหนังได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนเป็นพิเศษ สะท้อนถึงปฏิภาณไหวพริบแบบดีไซน์เนอร์ที่มีสายตาอันเฉียบคมในการจับภาพลักษณ์ของสิ่งต่างๆ และสามารถอธิบายได้อย่างสมเหตุสมผล

เช่น การเปรียบเทียบ “สไตล์” ของหนังแอ็กชั่นไซ-ไฟ 2 เรื่อง คือ Terminater ภาค 2 กับ The Matrix เพื่อบ่งบอกถึงความแตกต่างในวิธีคิดของยุคสมัย ซึ่งแสดงอยู่ในรูปแบบของหนัง

“ถ้า T2 เกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายร่างกายของคนข้ามมิติเวลา The Matrix เกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายจิตวิญญาณของมนุษย์ข้ามมิติสถานที่ ถ้า T2 มองปัญหาในยุคหลังอุตสาหกรรมด้วยสายตาแบบอนาล็อก The Matrix มองมันด้วยสายตาแบบดิจิตอล ถ้า T2 คือเครื่องแฟกซ์ The Matrix คือเนตสเคปและจาวาสคริปต์ กล่าวในแง่ของสไตล์ ถ้า T2 เป็นแม็กโดนัลด์ซึ่งเสิร์ฟเนื้อบดกับมันฝรั่ง The Matrix เป็นไซเบอร์คาเฟ่ซึ่งเสิร์ฟคาเฟอีนและขนมคุ้กกี้ ถ้า T2 โฆษณาฮอร์โมนสเตียร์ลอยด์ The Matrix โฆษณายาอี ถ้า T2 ขายเรย์แบน ฮาร์เลย์ เดวิดสัน และบอมบ์เบอร์สแจ๊กเก็ต The Matrix ขายเรย์แบน ดีเคเอ็นวาย และปราด้า” (จาก “แล่เนื้อ เถือหนัง เล่มสอง”, หน้า 5-6)

หรือในบทบาทกลับกัน งานนิทรรศการ “10 ตัวพิมพ์กับสังคมไทย” ซึ่งจัดขึ้นที่หอศิลป์จามจุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี 2545 เป็นกิจกรรมเชิงสังคมของบริษัท เอส.ซี. แมทช์บอกซ์ ร่วมกับนิตยสารสารคดี เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านกราฟิกดีไซน์ในบ้านเรา โดยเริ่มจากการศึกษาประวัติความเป็นมาและพัฒนาการของตัวพิมพ์ไทย ประชา สุวีรานนท์ ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของโครงการ มีบทบาทสำคัญในการเรียบเรียงเนื้อหา ดังปรากฏเป็นหนังสือ “แกะรอยตัวพิมพ์ไทย” และบทความ “10 ตัวพิมพ์กับ 10 ยุคสังคมไทย” ที่เป็นเรื่องบนปกของนิตยสารสารคดี ฉบับที่ 211 เดือนกันยายน ปี 2545

ซึ่งแน่นอนว่าด้วยสายตาที่ผ่านการวิจารณ์โครงสร้างทางสัญศาสตร์มาอย่างช่ำชอง ตัวพิมพ์ในมุมมองของประชาย่อมไม่ได้เป็นแค่รูปอักษร หรือเป็นเพียงตัวสื่อให้เนื้อสารมาเกาะอิงอย่างซื่อตรงโปร่งใสเท่านั้น แต่รูปลักษณ์ของมันยังบอกถึงบางสิ่งบางอย่างที่แฝงอยู่นอกเหนือจากตัวสารนั้นด้วย หรือที่เขากล่าวว่า “ตัวพิมพ์ก็ผูกมัดผู้อ่านไว้กับมาตรฐานเชิงรูปลักษณ์ของตัวอักษรซึ่งสัมพันธ์กับสังคมและประวัติศาสตร์อย่างใกล้ชิด”

และด้วยความเข้าใจในพัฒนาการของสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง 10 ตัวพิมพ์ที่เขาเลือกสรรมาเป็นตัวแทนของ 10 ยุคสมัยในสังคมไทยช่วง 160 ปีที่มันกำเนิดมา กลายเป็นการเรียบเรียงประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ฉบับย่อผ่านทางตัวพิมพ์ไปโดยปริยาย

เริ่มตั้งแต่การพิมพ์ที่เข้ามาแทนการเขียนด้วยลายมือแบบเดิม ซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนของการกำเนิดโลกทัศน์ใหม่ในสังคมไทยด้วย จากนั้นตัวพิมพ์ก็มีบทบาทในการสถาปนาชาติ การศึกษาในระบบโรงเรียน และระบอบการปกครองใหม่ แล้วต่อมาตัวพิมพ์ก็เริ่มเข้าสู่ยุคการค้า การพัฒนาอุตสาหกรรม ความเป็นประชาธิปไตย และเศรษฐกิจยุคฟองสบู่ จนมาถึงปัจจุบันซึ่งเป็นยุคดิจิตอล ตัวพิมพ์ก็อยู่ในสภาวะลอยตัว จากลักษณะการใช้งานที่หลากหลายและกระจัดกระจายอย่างไร้ขอบเขต

ขณะเดียวกันนั้น ประชาก็ใช้ทักษะความรู้ด้านกราฟิกดีไซน์ของเขาทำงานสิ่งพิมพ์เชิงปัญญามาโดยตลอด ตั้งแต่สมัยสำนักพิมพ์เม็ดทราย และวารสาร “แลใต้” ที่มี มโนภาษ เนาวรังสี เป็นผู้ดูแล มาจนถึงงานออกแบบปกหนังสือในระยะหลัง ซึ่งทั้งโดดเด่นสะดุดตาและมีความหมายหลากนัย

เช่น หนังสือรวมบทวิจารณ์วรรณกรรม “อ่าน (ไม่) เอาเรื่อง” ของ ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ เขาแบ่งพื้นที่ว่างบนปกด้วยรอยปรุเป็นช่องตาราง แล้ววางตัวอักษรเรียงกันลงไปในแต่ละช่องตามลำดับโดยไม่ได้คำนึงถึงการอ่านเป็นความ เหมือนต้องการให้ผู้อ่านฉีกตามรอยปรุมาเรียงใหม่กันเอง เพื่อให้เป็นประโยคที่อ่านรู้เรื่อง สอดคล้องกับแนวทางของหนังสือที่เสนอวิธีการอ่านวรรณกรรม ทั้งที่ “อ่านเอาเรื่อง” ตามตัวบท และ “อ่านไม่เอาเรื่อง” ในตัวบทเท่านั้น เพื่อรื้อค้นนัยยะที่ซ่อนเร้นอยู่ระหว่างบรรทัด ด้วยการตีความผ่านทฤษฎีวรรณกรรมในแนวโครงสร้างนิยม (Structuralism) และแนวรื้อสร้าง (Deconstruction) เป็นจุดเด่น เพราะฉะนั้นปกของหนังสือเล่มนี้จึงแสดงความหมายในเชิงโครงสร้างและรื้อสร้างในตัวเอง

นอกจากนี้เขายังออกแบบปกให้หนังสือที่เสนอความคิดเชิงสังคมการเมืองอย่างจริงจังหลายต่อหลายเล่ม เช่น หนังสือในเครือ “ฟ้าเดียวกัน” เป็นต้น

กราฟิกดีไซน์เป็นงานออกแบบที่ใช้ภาพและตัวอักษรเพื่อสื่อความหมายให้ชัดเจนตามประสงค์ ประชาเคยใช้พลังของการออกแบบกราฟิกในการจัดทำนิทรรศการ “6 ตุลา” เมื่อครั้งครบรอบ 20 ปี ของเหตุการณ์ 6 ตุลา ในปี 2539 ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นที่กล่าวถึงมากในการใช้รูปแบบแปลกใหม่กระชับอย่างงานโฆษณาในการนำเสนอข้อมูลอันหนักหน่วงซับซ้อน จนทำให้เรื่องราวที่คลุมเครือปิดซ่อนมานับสิบปีเผยตัวออกมาอย่างกระจ่างแจ้งเข้าใจง่าย และได้ใจความที่ครอบคลุมเงื่อนไขปัจจัยสำคัญ อันนำไปสู่เหตุการณ์รุนแรงในครั้งนั้น รวมถึงสามารถจำลองประสบการณ์ให้ผู้ชมได้สัมผัสอย่างตรงประเด็น เช่น การคืนความเป็นมนุษย์ให้ผู้ถูกกระทำ ด้วยภาพที่แสดงความรุนแรงอันเกินเลย จนต้องเกิดคำถามตามมาในสำนึก

ดังตัวอย่างของภาพหนึ่งที่ขยายขึ้นมาจนมีขนาดเท่าคนจริง เบื้องหลังเป็นกระจกเงา เพราะฉะนั้นเวลาที่ผู้ชมยืนอยู่ข้างหน้า เงาของเขาก็จะไปปรากฏเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนที่ยืนดูการประทุษร้ายกันอยู่ในภาพด้วย อันเป็นการย้อนให้คิดว่า การปล่อยให้เรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของความเลวร้ายนั่นเอง

ส่วนพลังของแนวคิดแบบสัญศาสตร์โครงสร้าง (Structural Semiotics) อยู่ที่การชำแหละเปิดโปงความยอกย้อนซ่อนกลของมายาคติในสังคม ซึ่งมิเพียงจะลดทอนบทบาทของมนุษย์ในฐานะผู้สร้างความหมายลง เหลือเพียงสถานะร่างทรงของระบบความหมายที่ปฏิสัมพันธ์กันอยู่ในสังคมเท่านั้น ยังช่วยลดภาระทางใจจากการแบกรับความหมายเหล่านั้นไว้เป็นตัวตนด้วย

อย่างที่ ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ เคยให้สัมภาษณ์ไว้ในนิตยสารสารคดีว่า สำหรับตัวเขาแล้ว... “โพสต์โมเดิร์นมีคุณูปการตรงที่มันเป็นยาที่มาช่วยแก้อาการเมาค้างลัทธิมาร์กซ์”

แนวคิดเรื่อง “หลังสมัยใหม่” หรือโพสต์โมเดิร์น (Postmodern) ทางวิชาการด้านสังคมศาสตร์ มีพื้นฐานอยู่บนวิธีคิดแบบโครงสร้างนิยมและสัญวิทยา (Semiology) ซึ่งมองเห็นการประกอบสร้างของความจริงในระบบคิดของมนุษย์ และเห็นการเลื่อนไหลของความหมายในตัวสื่อที่ใช้แทนความจริงเหล่านั้น ดังนั้นมันจึงช่วยปลดปล่อยการยึดติดในความคิดแบบใดแบบหนึ่งที่คุ้นชินอยู่กับตน และยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยถอดรื้อกระบวนการประกอบสร้างความจริงทั้งหลายด้วย ซึ่งไม่ว่าจะเป็นลัทธิมาร์กซ์ ทุนนิยม หรืออนุรักษ์นิยม ล้วนมีข้อดีข้อด้อยภายในกลไกของตัวมันเอง และไม่จำเป็นต้องงมงายหรือปฏิเสธไปเสียทั้งหมด ส่วนรื้อออกมาแล้วจะปล่อยทิ้งให้เคว้งคว้างว่างเปล่าอยู่อย่างนั้น หรือจะประกอบเข้าไปใหม่อย่างรู้เท่าทัน หรือจะอาศัยความเข้าใจที่ได้นั้นกำหนดท่าทีของตนอย่างไร มันก็แล้วแต่ความต้องการที่แท้จริงของแต่ละคน

ตามอุปนิสัยเบื้องต้นของปัญญาชนที่รักในความรู้และการแสวงหาความจริง บทบาทของ ประชา สุวีรานนท์ เริ่มปรากฏตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ท่ามกลางบรรยากาศตื่นตัวทางปัญญาและการทำกิจกรรมเพื่อสังคมของคนหนุ่มสาว หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 นักเรียนนักศึกษาในระดับต่างๆ ได้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์นั้น เกิดจิตสำนึกและการคิดตั้งคำถามต่อชีวิตและสังคมอย่างกว้างขวาง

ประชารับหน้าที่เป็นสาราณียกรจัดทำหนังสือ “สมานมิตร” ประจำปี 2517 ซึ่งเป็นหนังสืออนุสรณ์หรือหนังสือรุ่นของโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ร่วมกับ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ซึ่งเป็นประธานนักเรียน และเพื่อนนักเรียนหัวก้าวหน้ากลุ่มหนึ่ง ปรากฏว่าหนังสือรุ่นประจำปีนั้นพลิกโฉมไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง แบ่งเป็น 2 เล่ม เล่มหนึ่งปกเป็นรูปดอกกุหลาบ และเนื้อในเป็นข้อมูลของอาจารย์และนักเรียนในรุ่นเดียวกันธรรมดา แต่อีกเล่มหน้าปกเป็นรูปกำปั้นชูขึ้นขึงตึงโซ่ที่ล่ามไว้กับข้อมือ พร้อมกับหัวหนังสือว่า “ศึก” และภายในเล่มก็เต็มไปด้วยเนื้อหาที่วิพากษ์วิจารณ์ระบบการศึกษาอย่างรุนแรง

ด้วยรูปลักษณ์ที่ผิดไปจากประเพณีอันคุ้นเคย และการนำเสนอด้วยท่าทีแข็งกร้าว ย่อมก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากผู้ที่ไม่เข้าใจหรือไม่เห็นด้วย จนกลายเป็นความวุ่นวายถึงขั้นใช้กำลังและเผาหนังสือ แม้จะเป็นเพียงเหตุการณ์เล็กๆ แต่ก็เป็นเหมือนเค้าลางของความขัดแย้งทางความคิดที่รุนแรงขึ้นในเวลาต่อมา

“ปัญญาชนเดือนตุลา” อันหมายถึงกลุ่มปัญญาชนที่มีบทบาทหรือมีส่วนร่วมในเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองในช่วงปลายทศวรรษ 2510 น่าจะแบ่งย่อยอย่างหยาบๆ ได้ 2 รุ่น คือ ปัญญาชนที่เติบโตขึ้นก่อนและมีบทบาทในช่วง 14 ตุลาคม 2516 กับปัญญาชนที่เติบโตขึ้นหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา และมีส่วนร่วมในช่วง 6 ตุลาคม 2519

ลักษณะที่แตกต่างกันอาจจะยกตัวอย่างได้จากท่าทีและน้ำเสียงในงานของปัญญาชนนักวิชาการอย่าง เสกสรรค์ ประเสริฐกุล และ ธีรยุทธ บุญมี ซึ่งมีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์ 14 ตุลา กับ ธงชัย วินิจจะกูล และ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ซึ่งมีบทบาทร่วมอยู่ในเหตุการณ์ 6 ตุลาด้วย

“14 ตุลา” ได้ชื่อว่าเป็นชัยชนะของประชาชนต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาติ แต่ “6 ตุลา” มีความคลุมเครือในความหมาย ความรุนแรงที่เลยเถิดทำให้หลายฝ่ายกระอักกระอ่วนใจที่จะกล่าวถึง ทำให้เหตุการณ์นี้กลายเป็นบาดแผลที่สังคมอยากจะลืมแต่ก็ลืมไม่ลง เกิดความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องและการปิดกั้นความจริงอยู่นานหลายปีต่อมา ซึ่งแน่นอนว่าย่อมเกิดความรู้สึกที่ยากจะอธิบายให้ลงตัวขึ้นในใจของผู้เกี่ยวข้อง และโดยเฉพาะกับฝ่ายที่สูญเสีย

จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ทั้งสองเหตุการณ์นี้ส่งผลต่อท่าทีที่ต่างกัน

อย่างงานเขียนของเสกสรรค์และธีรยุทธจะมีลักษณะก่อร่างโครงสร้างทางความคิดที่ชัดเจน ขณะที่งานเขียนของธงชัยกับสมศักดิ์จะมีลักษณะรื้อถอนโครงสร้างทางความคิดมากกว่า แม้ธีรยุทธจะจับเรื่องโพสต์โมเดิร์น แต่เขาก็ยังก่อร่างเป็นเค้าโครงที่ชัดเจนอยู่นั่นเอง ขณะที่สมศักดิ์ก็ไล่เรียงศึกษาประวัติศาสตร์ของภูมิปัญญาด้วยลีลายั่วแย้ง

เสกสรรค์กับธงชัยมีอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างอยู่ในน้ำเสียงเหมือนกัน แต่ความรู้สึกของเสกสรรค์จะออกไปทางนาฏกรรมอันสง่างาม ส่วนความรู้สึกของธงชัยจะเป็นการทอดอาลัยในความสงสัยเชิงปรัชญา

หากเรียนรู้อย่างแยบคาย ทั้งสองแนวทางต่างให้ประโยชน์ เหตุการณ์ 14 ตุลาก่อรูปอุดมการณ์ประชาธิปไตยขึ้นมา แต่เมื่อยุคสมัยแปรเปลี่ยน ความหมายของถ้อยคำต่างๆ ย่อมเลื่อนไหลบิดผันไปจากเดิม กระทั่งอุดมการณ์อาจกลายเป็นภาระที่ว่างเปล่า เมื่อต้องแบกรับเปลือกผิวของความคิดที่แข็งทื่อตายตัวไว้กับตน แต่เนื้อแท้ของมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

เพราะฉะนั้นผลผลิตที่เป็นการตกผลึกของความขัดแย้งอันซับซ้อนในเหตุการณ์ 6 ตุลาจึงเป็นเหมือนกับยาแก้เมาอุดมการณ์ ซึ่งต้องเข้าใจกลไกของโครงสร้างทางความคิด ทั้งการก่อร่างและรื้อถอนไปพร้อมกัน.

[อ่านต่อ ชำแหละเปลือกผิววัฒนธรรม (2)]

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น