ซ่อนไว้ในสิม : ก-อ ในชีวิตอีสาน / อู่ทอง ประศาสน์วินิจฉัย / Fullstop, พิมพ์ครั้งแรก ปี 2551
คนอีสานเรียกโบสถ์ว่า “สิม” ซึ่งน่าจะมาจากคำว่า “สีมา” หรือ “เสมา” สิมแต่ดั้งเดิมนอกจากจะเป็นศาสนสถานสำคัญที่ใช้ประกอบพิธีกรรมทางสงฆ์แล้ว ยังเป็นเครื่องสะท้อนภูมิปัญญาของชาวอีสานด้วย ตั้งแต่รูปแบบสถาปัตยกรรมที่ใช้วัสดุท้องถิ่นในการก่อสร้างเสียเป็นส่วนใหญ่ และยังมีรูปทรงที่เรียบง่าย พอเหมาะ สมถะ และหนักแน่น บ่งบอกปรัชญาในการดำเนินชีวิต รวมทั้งการตีความพุทธธรรมด้วยประสบการณ์ท้องถิ่น
สิมจึงมีความงามที่ควรค่าแก่การพินิจพิจารณา
นอกจากนี้สิมยังประดับด้วยจิตรกรรมฝาผนังที่เรียกว่า “ฮูปแต้ม” ซึ่ง “ช่างแต้ม” ชาวอีสานได้รังสรรค์ขึ้นอย่างอิสระ ภายใต้ขนบประเพณีของตนเอง เพราะห่างไกลจากแบบแผนศิลปกรรมของช่างหลวง จิตรกรรมฝาผนังบนสิมจึงเต็มไปด้วยลักษณะเฉพาะตัว มีความบริสุทธิ์จริงใจในการแสดงออก ขณะเดียวกันก็บันทึกวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอีสานลงไปอย่างซื่อตรง จนเรียกได้ว่าสิมก็คือยุ้งฉางทางวัฒนธรรมของชาวอีสาน ซึ่งช่วยเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์แห่งภูมิปัญญาไว้ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้เพื่อบ่มเพาะเป็นความเจริญงอกงามต่อไปเบื้องหน้า
แบบอย่างทางศิลปะของงานจิตรกรรมที่ประดับอยู่บนผนังสิมยังมีคุณค่าในเชิงสุนทรียภาพ เนื่องจากสิมโดยทั่วไปจะมีขนาดเล็ก ภายในเพียงพอแก่การทำพิธีของพระสงฆ์เท่านั้น จิตรกรรมฝาผนังภายในสิมก็จะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับศาสนาโดยตรงด้วย เช่น ภาพพุทธประวัติ เป็นต้น ผนังภายนอกสิมนั่นเองที่เป็นพื้นที่วาดภาพตกแต่งด้วยเรื่องราวที่เปิดกว้างและเป็นอิสระกว่า แม้จะอิงอยู่กับคำสอนทางศาสนา เช่น เรื่องชาดกต่างๆ หรือวรรณคดีที่นิยมในท้องถิ่น แต่ศิลปินก็สามารถสอดแทรกจินตนาการหรือแรงบันดาลใจส่วนตัวได้อย่างคล่องมือ การแสดงออกทางอารมณ์ความรู้สึกก็ทำได้โดยซื่อ ลีลาที่บริสุทธิ์จริงใจเป็นความงามแบบดิบๆ ในลักษณะเดียวกับงานกราฟฟิตี้ที่นิยมกันในศิลปะร่วมสมัย
รวมทั้งวัสดุที่ใช้รองรับและสีซึ่งได้มาจากธรรมชาติพื้นถิ่นยังให้เสน่ห์เฉพาะตัว
หนังสือ “ซ่อนไว้ในสิม : ก-อ ในชีวิตอีสาน” ที่เรียบเรียงโดย อู่ทอง ประศาสน์วินิจฉัย เป็นงานรวบรวมความรู้ในเชิงสังคมวิทยาของชาวอีสานที่ปรากฏอยู่ในจิตรกรรมฝาผนังของสิมหลายแห่ง อันเป็นการชี้ให้เห็นคุณค่าของ “ฮูปแต้ม” เหล่านั้นในเชิงเนื้อหา ว่าซ่อนองค์ความรู้อันลึกซึ้งเช่นไรไว้บ้าง
เนื้อหาของหนังสือไล่เรียงตามลำดับตัวอักษรของคำสำคัญ และใช้รูปพชัญชนะของภาษาไทยน้อย ซึ่งเป็นตัวหนังสือที่ใช้กันในอีสานก่อนที่จะมีการปฏิรูปการศึกษาในสมัยรัชกาลที่ 5 เพราะฉะนั้นจึงมีอยู่ทั้งหมด 25 คำ 25 รูปพยัญชนะ ตั้งแต่ ก.กองฮด จนถึง อ.อาชีพ
วิธีการเล่าเรื่องของอู่ทองเป็นแบบลำลอง เหมือนเขียนจดหมายให้เพื่อนอ่าน เพราะฉะนั้นจึงเข้าใจง่าย และไม่น่าเบื่อ ด้วยเป็นมุมมองของคนร่วมสมัย เรื่องที่เล่าก็จะเป็นสิ่งละอันพันละน้อยซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตปัจจุบัน เช่น การเล่าถึงชีวิตประจำวัน กิจกรรมของคนหนุ่มสาว ความเป็นครอบครัว และการทำมาหากิน แต่ก็อาจจะทำให้สงสัยในความน่าเชื่อถือบ้าง เพราะนี่ไม่ใช่งานวิชาการที่เสนอหลักฐานใหม่ หรือตีความใหม่ เพียงแต่นำข้อมูลที่มีอยู่มาเรียบเรียงแล้วนำเสนอให้เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นสนใจวัฒนธรรมอีสาน หรืออ่านเล่นในฐานะความรู้รอบตัวก็สนุกเหมือนกัน เพียงแค่ภาพงานจิตรกรรมฝาผนังเต็มเล่ม ซึ่งทีมงานตระเวนถ่ายมาจากวัดเกือบ 20 แห่งก็คุ้มค่าแล้ว
เรื่องราวที่ปรากฏอยู่ใน “ฮูปแต้ม” บอกเล่าขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวอีสาน เช่น ตอน บ.บุญ เล่าว่า คนอีสานชอบทำบุญมาก จนมีคำกล่าวว่า “ฮีตสิบสอง” ซึ่งหมายถึงจารีตการทำบุญ 12 เดือน คือจะมีงานบุญประเพณีกันทุกเดือนตลอดปีเลยทีเดียว รายละเอียดของศิลปะและวัฒนธรรมทั้งหลายก็มักจะแตกออกมาจากงานบุญต่างๆ นั่นเอง
พิธีกรรมเป็นกลวิธีของการอยู่ร่วมกันในสังคม เช่น ตอน ฝ.ฝน เล่าถึงพิธีขอฝนของชาวอีสาน ซึ่งล้วนเป็นการสร้างความสามัคคีขึ้นมาในหมู่คณะ ยามเผชิญหน้ากับภัยธรรมชาติ ขณะเดียวกันการแสดงที่หยาบคายโปกฮาก็เป็นการระบายความตึงเครียดของแต่ละคนด้วย หรือการเรียกงานศพว่า “งันเฮือนดี” ก็เพื่อให้เป็นมงคล และพิธี “กองฮด” ที่จัดขึ้นเพื่อยกย่องพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็เป็นการช่วยควบคุมดูแลพระสงฆ์ให้อยู่ในพระธรรมวินัยอีกทางหนึ่ง
นอกจากนี้ “ฮูปแต้ม” ยังบอกถึงปรัชญาความเชื่อหรือคติธรรมของชาวอีสาน ผ่านทางตำนานพุทธประวัติและอดีตพุทธ โดยเฉพาะ “ผะเหวด” หรือพระเวสสันดรชาดก ซึ่งทำให้การทำทานหรือการให้กลายเป็นคุณธรรมอันสำคัญของคนอีสาน รวมถึงตำนานเรื่องพระมาลัยท่องนรก และความเชื่อเรื่องเปรต ก็กลายเป็นช่องทางสำคัญของการสั่งสอนเรื่องบาปบุญคุณโทษ
ตำนานแถนหรือผีสางเทวดาทั้งหลายก็ยังมีชาวอีสานนับถือผูกผันอยู่มาก รวมถึงวรรณคดีเรื่อง “สินไซ” ซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยคติธรรมคำสอนสำหรับนักปกครองและชาวบ้านธรรมดา
ระหว่างการบอกเล่าถึงสิ่งสำคัญเหล่านั้นเอง มีภาพชีวิตของชาวบ้านสอดแทรกอยู่เป็นระยะ ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิต การทำมาหากิน บ้านเรือนไร่นา อาหารการกิน ข้าวของเครื่องใช้ การช่างฝีมือ สัตว์เลี้ยง และพาหนะ ซึ่งสาระสำคัญบอกถึงการพึ่งตนเองบนฐานทรัพยากรที่จำกัด เช่น นาไร่ที่ต้องเป็นแหล่งอาหารสารพันอยู่ทุกฤดูกาล การทำปลาแดกไว้กินยามขัดสน ลานกลางบ้านที่ใช้ทำกิจกรรมสารพัด หรือการจัดสานและทอผ้าไว้ใช้เอง
กระนั้นอีสานก็ยังเป็นแหล่งกำเนิดศิลปะและการละเล่นอันสำคัญ เช่น การเล่นแคน ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีโบราณชนิดหนึ่งที่ได้รับการยกย่องว่าไพเราะยิ่ง เพราะสามารถบรรเลงทำนอง สร้างเสียงประสาน ไล่ลำดับเสียง และควบคุมจังหวะได้ในเวลาเดียวกัน ด้วยผู้เล่นคนเดียว การทำว่าวของชาวอีสานก็เป็นเลิศในความสุนทรีย์ เช่นเดียวกับการฟ้อนรำซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า
“ท่าฟ้อนของชาวอีสานก็เหมือนกับการแต้มฮูป คือมีความเป็นอิสระสูง ไม่มีข้อจำกัดตายตัวทั้งมือและเท้า ส่วนใหญ่ท่าฟ้อนจะได้มาจากท่าทางหรืออิริยาบถตามธรรมชาติ ไม่มี ‘ท่ามาตรฐาน’ แล้วแต่ผู้ฟ้อนว่าจะคิดประดิษฐ์ท่าขึ้นมาได้อย่างไรจึงจะเข้ากับดนตรีและมองดูสวยงาม” (หน้า 195)
อันที่จริงวัฒนธรรมของคนไทยในปัจจุบันต้องถือว่ากลายพันธุ์มาจากเดิมมากแล้ว ขณะที่วัฒนธรรมพื้นบ้านไม่ว่าจะเป็นทางเหนือหรืออีสานยังคงรักษาลักษณะดั้งเดิมไว้ได้มาก ท่ามกลางกระแสโลกที่ต้องการความเป็นตัวของตัวเองออกไปแข่งขัน การกลับไปทำความเข้าใจกับรากเหง้าความเป็นมาของตัวเองให้ถ่องแท้จึงเป็นเรื่องจำเป็น เช่นนั้นเองสิมหลังน้อยในวัดเล็กๆ ของอีสานจึงมีความสำคัญยิ่งนัก.
[พิมพ์ครั้งแรก: Vote]