ดีเป็นบ้า! (Crazily Good!) / สุธี คุณาวิชยานนท์ / Number 1 Gallery, 15 มีนาคม – 21 เมษายน 2555
[“ประเทศไทยหัวทิ่ม” ปี 2555, สีน้ำมันบนไม้อัด 300 ซม.]
หนังสือ “จากสยามเก่าสู่ไทยใหม่” (ปี 2545) ของ สุธี คุณาวิชยานนท์ เป็นบันทึกเล่มสำคัญที่ว่าด้วยประวัติศาสตร์ศิลปะสมัยใหม่ในประเทศไทย ซึ่งมีเนื้อหาครบถ้วนเท่าที่สามารถค้นคว้าถึง ทั้งผู้เขียนยังสรุปประเด็นเป็นหัวข้อที่เข้าใจง่าย อธิบายความเปลี่ยนแปลงของศิลปะที่สัมพันธ์กับสังคม และยังตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจไว้ไม่น้อย ด้วยเข้าใจในสัญญะและมายาคติของศิลปะเหล่านั้น กระทั่งสามารถเล่นล้อได้อย่างคมคาย ดังที่เห็นในผลงานศิลปะของเขาด้วย
ความรู้ในประวัติศาสตร์ของสังคม ทำให้สุธีเป็นศิลปินที่มีความคิดอ่านแหลมคมในการวิพากษ์วิจารณ์สังคมและวัฒนธรรม ด้วยการประดิษฐ์งานสื่อผสมแปลกๆ ใหม่ๆ เพื่อสะท้อนความประดักประเดิดของภาพลักษณ์และความหมายที่ผิดเพี้ยน เขาเล่นล้อเช่นนั้นได้เพราะเข้าใจว่าความหมายของวัฒนธรรมไม่ใช่ความจริงตามธรรมชาติ แต่เป็นประดิษฐกรรมที่ประกอบสร้างขึ้นมา เมื่ออยู่ผิดที่ผิดเวลาก็อาจจะแปลกแปร่งไปจากที่ควรเป็น นั่นเป็นอรรถรสที่เขาพึงใจนำมาใช้แสดงความคิดเห็นต่อความเป็นไปในสังคม
งานของสุธีสมัยเรียนคณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นภาพพิมพ์ผสมภาพถ่ายและซิลค์สกรีน เป็นภาพเพื่อนฝูงบุคคลใกล้ชิด ทับซ้อนด้วยร่องรอยลวดลายสีสดฉูดฉาด บ่งบอกถึงความสนใจในการทดลองผสมผสานวิธีการแปลกๆ ใหม่ๆ ในการนำเสนอความรู้สึกภายในออกมา
งานในช่วงที่ไปเรียนออสเตรเลีย และจัดแสดงระหว่างปี 2534-37 ยังคงเป็นการสะท้อนความรู้สึกในตัวตน ผ่านงานวาดเส้น จิตรกรรม ภาพถ่าย ภาพพิมพ์ ผสมปนเป ติดตั้งจัดวาง เป็นภาพแทนของกระแสสำนึก และแฝงแนวคิดเกี่ยวกับสภาวะของจิตในทางพุทธศาสนา
ความคิดเชิงสังคมเริ่มเป็นรูปธรรมในงานชุด “ช้างเผือกสยาม” ปี 2538 ซึ่งสุธีใช้ช้างเผือกเป็นสัญลักษณ์แทนสิ่งที่มีคุณค่าในสังคมไทย และกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่วิกฤตสุ่มเสี่ยงเช่นเดียวกับช้างไทย เขานำเสนอทั้งงานจิตรกรรม ประติมากรรม สื่อผสม และติดตั้งจัดวาง ทดลองใช้วัสดุที่แสดงสภาพต่างๆ แม้จะเป็นการตอบโจทย์เรื่องความเป็นไทยเช่นเดียวกับศิลปินอีกหลายคนที่กำลังตั้งคำถาม และแสวงหาแนวทาง แต่การตีความสัญลักษณ์ของสุธีก็ไปไกลถึงขั้นเห็นความแปลกปลอมไม่แน่นอนของความหมายทางวัฒนธรรม
ปี 2540 สุธีเริ่มทำงานสื่อผสมที่ให้ผู้ชมมีส่วนร่วมในงานแสดง และมีเนื้อหาเล่นล้อเสียดสีสัญญะทางวัฒนธรรม เช่น ประติมากรรมรูปคนไหว้ ซึ่งเมื่อใช้เท้าเหยียบแป้นแล้วจะก้มหัวลง พร้อมกับเปิดศีรษะกลวงเปล่าออกมาเหมือนฝาถังขยะ หรือประติมากรรมหุ่นยางที่ผู้ชมต้องช่วยกันเป่าลมให้พองเป็นรูปขึ้นมา เหมือนความกลวงเปล่าของรูปลักษณ์ต่างๆ ซึ่งต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของผู้คนจึงจะมีชีวิตขึ้นมา
ตลอดทศวรรษ 2540 หลังวิกฤตเศรษฐกิจและท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ที่มีผลกระทบต่อสังคมและวัฒนธรรมมากมาย สุธีเฝ้าถอดรื้อมายาคติความเป็นไทยในสังคมร่วมสมัยโดยอาศัยพื้นฐานความรู้ที่มีน้ำหนัก เขาทำงานศิลปะโดยแอบอิงอยู่กับงานวิชาการนอกกรอบกระแสหลัก ทำให้มีความหลักแหลมในการนำเสนอมุมมองด้านกลับ ทั้งเนื้อหา รูปแบบ และวิธีการ
เช่นงานชุด “ห้องเรียนประวัติศาสตร์” ปี 2543 เขานำโต๊ะนักเรียนมาแกะไม้ด้านหน้าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเมืองไทย แล้วนำไปจัดวางให้ผู้ชมใช้กระดาษวางทาบ และฝนดินสอด้านบน เป็นภาพพิมพ์นูนสูงที่สามารถเรียนรู้วิธีทำและนำกลับบ้านได้ด้วยตนเอง น่าสนใจว่าประวัติศาสตร์ที่สุธีนำมาบอกเล่ามิใช่ประวัติศาสตร์ที่สอนกันอยู่ในสถานศึกษา แต่เป็นประวัติศาสตร์กระแสรองซึ่งถูกทำให้ละเลยและหลงลืมด้วยแนวคิดทางการเมืองที่แตกต่างกัน กระทั่งคนส่วนใหญ่ในสังคมก็ไม่รู้อดีตความเป็นมาอย่างครบถ้วน เมื่อเกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้นมาก็ไม่อาจเข้าใจได้อย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งสุธีมองออกว่าเป็นเรื่องของการศึกษา และจำลองความประดักประเดิดดังกล่าวออกมาเป็นงานศิลปะ
ขณะที่อีกด้านหนึ่งเขาก็ยังคงมองตัวตนตามพุทธปรัชญา จำลองสังขารที่เริ่มโรยราของตัวเองเป็นหุ่นยางนั่งสมาธิ หรือเป็นหุ่นนักมวยที่กำลังจะชกต่อยกันเอง
หลังปฏิวัติในปี 2549 และเข้าสู่ทศวรรษ 2550 ด้วยความขัดแย้งทางการเมืองที่ซับซ้อนและรุนแรง จากการบิดเบือนของความหมายที่ใช้ต่อสู้กัน จนเกิดเป็นวิกฤตคุณค่าที่สับสนอลหม่านกว่ายุคสมัยใดที่ผ่านมา งานของสุธีก็สะท้อนออกจากมุมที่เขามอง และฐานความรู้ที่สะสมมาก่อนหน้า
เขาตั้งคำถามต่อความเป็นไทยด้วยน้ำเสียงเสียดเย้ยอีกครั้งในงานชุด “ครึ่งหนึ่งของความจริง” ปี 2553 ซึ่งนำรูปแบบศิลปะไทยประเพณีมาผสมปนเปกับวัฒนธรรมประชานิยมรากหญ้าในลักษณะประดักประเดิด เช่น เขียนภาพจิตรกรรมไทยประเพณีเป็นรูปมือชูนิ้วกลางอย่างอ่อนช้อย เป็นต้น
นอกจากนี้เขายังลงลึกในการศึกษาและเลียนแบบศิลปะชาตินิยมในยุคริเริ่มสร้างชาติให้เป็นสมัยใหม่ในงานชุด “โหยสยาม ไทยประดิษฐ์” และเสียดสีการลอยตัวอยู่เหนือปัญหาในสังคมในงานชุด “ลอย” ปี 2554 เป็นหุ่นคนนั่งสมาธิ ติดดวงไฟไว้ข้างใน แล้วนำไปแขวนไว้เหนือตรอกตึกแถวในลักษณะผิดที่ผิดทาง
การติดตามความอลหม่านทางวัฒนธรรมอันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมือง สะท้อนออกมาเป็นงานแสดงล่าสุดคือ “ดีเป็นบ้า!” (Crazily Good!) ซึ่งประกอบด้วยงานศิลปะ 3 ชุด จัดวางประสมกัน
เริ่มจากแผนที่ประเทศไทยหัวทิ่ม ทำด้วยไม้อัดขนาดสูง 3 เมตร และตัดด้วยกระดาษห้อยกลับหัวลงมา เล่นกับสีเหลืองและสีแดงตามนัยยะขัดแย้งทางการเมือง
งานจิตรกรรมสีอะคริลิกชุด “นวดมหาประลัย” ประสมท่วงท่าการนวดแผนไทยเข้ากับมวยไทยอย่างพิสดาร และแสดงความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ เป็นภาพแทนของวัฒนธรรมไทยปัจจุบันซึ่งบิดผันไปด้วยอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในยุคโลกาภิวัตน์ นอกจากนี้ก็ยังมีโต๊ะเรียนแกะไม้ตามภาพต้นแบบให้ผู้ชมใช้ดินสอฝนเป็นภาพพิมพ์นำกลับบ้านด้วย
และงานประดิษฐ์ตัวอักษรเลียนอย่างโฆษณาสมัยก่อน เป็นถ้อยคำที่ชวนคิดในหลายเรื่อง เช่น “อยากเลิกอยาก” “โปรดถามให้ตรงคำตอบ” “รักประชาธิปไตย แต่เกลียดเสียงข้างมาก” เป็นต้น
เมื่อนำงานทั้งหมดมาติดตั้งจัดวางรวมกัน มันก็ให้ทัศนวิสัยแบบจับฉ่ายอย่างตลาดนัด ซึ่งมีเรื่องราวหลากหลายผสมผสานกันอย่างอิสระจนแทบไร้เหตุผล ไร้รสนิยม และไร้สติ แล้วแต่ผู้ชมว่าจะกระทบใจกับสิ่งใดตามพื้นฐานของตน ซึ่งมีตั้งแต่เรื่องการเมือง บันเทิง ไปจนถึงธรรมะ
ความสับสนอลหม่านของวาทกรรมจากหลายแหล่งที่มา ทำให้ไม่มีมายาคติใดชักนำเป็นหลัก น้ำเสียงเชิงวิพากษ์ของศิลปินก็เป็นการยั่วเย้าให้ขบคิด อารมณ์ขันคลายความขัดแย้งที่ตึงเครียดลงไปได้มาก และทำให้เห็นได้ว่า หากยากที่จะเป็นระเบียบเรียบร้อย บางทีความรกรุงรังก็อาจมีวิธีจัดการตัวมันเอง.
[พิมพ์ครั้งแรก: Vote]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น