วันอังคารที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2551

เติบโตด้วยเทพปกรณัม

พลานุภาพแห่งเทพปกรณัม (The Power of Myth) / โจเซฟ แคมพ์เบลล์ (Joseph Campbell), บิลล์ มอยเยอร์ส (Bill Moyers) / บารนี บุญทรง – แปล / มูลนิธิกิ่งแก้ว อัตถากร, พิมพ์ครั้งแรก มกราคม 2551

พลานุภาพแห่งเทพปกรณัม (The Power of Myth) / โจเซฟ แคมพ์เบลล์ (Joseph Campbell), บิลล์ มอยเยอร์ส (Bill Moyers) / บารนี บุญทรง – แปล

ภาพบนปกหนังสือเล่มนี้เป็นรูปหล่อพระแม่อุมา ศิลปะสมัยสุโขทัย พุทธศตวรรษที่ 19 แสดงความงามตามอุดมคติขององค์มหาเทวีซึ่งเป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ ซึ่งสำคัญยิ่งต่อสังคมเกษตรกรรม ความงามที่หยิบยืมรูปทรงมาจากเรือนร่างงดงามของสตรีเป็นภาพแทนของหลักนำที่ผู้คนในสังคมนั้นยึดถือในวิถีชีวิตของตน หรือที่เรียกว่า “เทพปกรณัม” (Myth)

เรื่องเล่าที่เป็นเทพปกรณัมไม่ได้ทำหน้าที่แค่สอนคติธรรมหรือให้ความบันเทิง แต่ครอบคลุมทั้งหมดในชีวิตของมนุษย์ ตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นโครงสร้างความสัมพันธ์ในสังคม และยังแสดงภาพรวมของจักรวาล ตั้งแต่กำเนิดโลกไปจนถึงวาระสุดท้าย มโนภาพเหล่านี้มีส่วนกำหนดการดำเนินชีวิตของคนเราให้สอดคล้องกับสถานะตามช่วงวัย สอดคล้องกับสังคม และสอดคล้องกับความเป็นไปในธรรมชาติ

เทพปกรณัมในสังคมต่างๆ จะแตกต่างกันไปตามลักษณะเฉพาะทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม แต่มีต้นแบบคล้ายคลึงกัน ด้วยบทบาทที่เหมือนกันต่อตัวบุคคลและสังคม สมัยก่อนวิชาความรู้ต่างๆ ยังไม่ได้มีระเบียบแบบแผนตามหลักการที่เป็นวิทยาศาสตร์ และต้องอาศัยเทพปกรณัมเป็นพาหนะในการเข้าถึงองค์ความรู้นั้น พอเข้าสู่สังคมสมัยใหม่ เรื่องราวในเทพปกรณัมก็กลายเป็นเพียงนิทานโกหกที่พิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นจริง

นั่นเพราะลืมกันไปว่าภาษาที่ใช้ในเทพปกรณัมไม่ได้ถ่ายทอดความจริงเชิงประจักษ์ แต่เป็นภาษาอุปลักษณ์ (metaphor) หรือความเปรียบเชิงกวีที่ใช้สื่อถึงสิ่งที่อยู่พ้นเลยไปจากประสบการณ์ที่จับต้องได้ของมนุษย์

เช่น นรกในเทพปกรณัมไม่ได้หมายถึงสถานที่ที่มีอยู่จริงลึกลงไปใต้พิภพ แต่เป็นความเปรียบถึงสภาวะที่เป็นทุกข์ในจิตใจของมนุษย์ นรกขุมต่างๆ ก็คือความทุกข์ทรมานระดับต่างๆ นั่นเอง เช่นเดียวกับสวรรค์ก็ไม่ใช่สถานที่ซึ่งอยู่เหนือบรรยากาศของโลกขึ้นไปไกลโพ้น แต่หมายถึงความสุขในจิตใจของเราเอง สวรรค์ชั้นต่างๆ ก็คือความสุขระดับต่างๆ ตั้งแต่ความสุขระดับพื้นๆ อย่างการได้ครอบครองวัตถุสิ่งของ หรือปีติสุขระดับที่สูงขึ้นไปเมื่อได้ทำดีเพื่อผู้อื่น กระทั้งสูงสุดคือพ้นจากเงื่อนไขของความสุขและความทุกข์ทั้งมวล

ภาพพจน์ของนรกหรือสวรรค์ที่บรรยายอยู่ในศาสนาต่างๆ ก็คือความเปรียบที่หยิบยืมมโนภาพมาจากประสบการณ์และสัญลักษณ์ในวัฒนธรรมนั้น การทำชั่วแล้วตกนรกก็คือ ทำสิ่งที่ผิดต่อกฎเกณฑ์ในสังคมหรือผิดต่อกฎธรรมชาติ แล้วต้องประสบกับความขัดแย้งทั้งทางกายภาพหรือทางใจตามมา เช่นเดียวกับการทำดีแล้วได้ขึ้นสวรรค์ คือทำสิ่งที่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ในสังคมหรือกฎธรรมชาติ แล้วเกิดภาวะที่กลมกลืนงอกงาม

หนังสือ “พลานุภาพแห่งเทพปกรณัม” (The Power of Myth, 1988) เป็นบันทึการสัมภาษณ์และสนทนากันระหว่าง โจเซฟ แคมพ์เบลล์ (Joseph Campbell) นักวิชาการด้านเทพปกรณัมชาวอเมริกัน กับ บิลล์ มอยเยอร์ส (Bill Moyers) นักสื่อสารมวลชนชื่อดัง พวกเขาพูดคุยกันถึงความสำคัญของเทพปกรณัมต่อชีวิตมนุษย์และสังคม และกล่าวถึงความเป็นไปได้ที่จะนำประโยชน์บางอย่างกลับมาใช้ในปัจจุบัน ความรุ่มรวยในความรู้เรื่องเทพปกรณัมของ โจเซฟ แคมพ์เบลล์ ทำให้เห็นความหลากหลายของเรื่องเล่าเหล่านี้ซึ่งมีผลต่อชีวิตด้านต่างๆ ของมนุษย์ โดยเฉพาะการเติบโตเข้าสู่วุฒิภาวะ และการเข้าสู่ภาวะที่สูงกว่านั้น ซึ่งเป็นกระบวนการที่ขาดหายไปในสังคมสมัยใหม่ และทำให้เป็นมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์ ด้วยมีความเจริญเพียงด้านวัตถุกายภาพ แต่ขาดขั้นตอนการพัฒนาทางจิตวิญญาณ นอกจากนี้ยังอธิบายถึงความเชื่อจากเทพปกรณัมที่ยังมีบทบาทอยู่ในสังคมปัจจุบัน ตั้งแต่พิธีกรรมของรัฐ ไปจนถึงทรรศนะเรื่องความรักและการแต่งงาน รวมถึงลักษณะของเทพปกรณัมที่ปรากฏอยู่ในวรรณกรรมร่วมสมัยและสื่อสมัยใหม่อย่างภาพยนตร์ และแน่นอนว่าไม่ใช่เฉพาะด้านบวก การปะทะกันทางวัฒนธรรมด้วยความรุนแรงในปัจจุบันเป็นผลมาจากการยึดมั่นในเทพปกรณัมที่ต่างกัน ด้วยสังคมสมัยใหม่ขาดจินตนาการถึงพรมแดนทางจิตวิญญาณที่จะอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนและไม่อาจล่วงละเมิด

แม้จะเป็นวิชาการเฉพาะด้าน แต่ความเป็นสื่อมวลชนของ บิลล์ มอยเยอร์ส ก็ทำให้การสนทนาเข้าใจง่ายขึ้น และมีประเด็นที่ตอบรับกับผู้คนในสังคมปัจจุบัน กระนั้นหากมีความรู้เกี่ยวกับอารยธรรมและศาสนาต่างๆ บ้างก็อาจจะปะติดปะต่อความสนใจได้กว้างขวาง เพราะเรื่องราวที่แคมพ์เบลล์เล่าให้ฟังครอบคลุมทุกวัฒนธรรมสำคัญในโลก ทั้งที่มีร่องรอยอยู่รอบๆ ตัวเรา และเรื่องราวในอีกซีกโลกหนึ่ง แคมพ์เบลล์มีความสามารถในการถอดโครงสร้างของเรื่องเล่าต่างๆ ออกมาเป็นสูตรสำเร็จที่ตีความกรณีศึกษาได้กระจ่าง เขาอธิบายว่าเพราะจินตนาการเหล่านี้มีที่มาจากพลังอินทรีย์ทางชีววิทยาที่เหมือนกันของมนุษย์ เพียงแต่แสดงออกด้วยสัญลักษณ์ที่ต่างกันเท่านั้น

แคมพ์เบลล์บอกว่าเทพปกรณัมยังคงมีบทบาทต่อเราอย่างน้อย 4 ด้าน คือ หนึ่ง บทบาทด้านการเป็นสื่อถึงความมหัศจรรย์พันลึกที่แฝงอยู่ภายใต้รูปลักษณ์ทั้งปวง และมนุษย์ไม่อาจเข้าถึงได้ด้วยประสบการณ์ทางผัสสะธรรมดา ทั้งยังไม่อาจเข้าใจได้ด้วยภาษาธรรมดา ดังนั้นจึงต้องกล่าวถึงด้วยภาษาความเปรียบอันวิจิตรพิสดาร เช่น เรื่องของมิติเหนือธรรมชาติ อารมณ์ความรู้สึกบางอย่าง หรือแม้แต่ภาวะนิพพาน

สอง บทบาทด้านการบรรยายรูปทรงของจักรวาล แม้ความจริงเชิงประจักษ์ทางวิทยาศาสตร์จะทำลายจินตนาการของจักรวาลวิทยาแบบโบราณจนสิ้นความน่าเชื่อถือไปแล้ว แต่เมื่อพัฒนาการของวิทยาศาสตร์ก้าวไปถึงสุดขอบของสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจรับรู้หรือพิสูจน์ได้ด้วยประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส นักวิทยาศาสตร์ก็หันมาหยิบยืมเอาภาพพจน์จากเทพปกรณัมเพื่อช่วยสร้างมโนภาพให้พอจะนึกเห็นได้บ้าง

สาม บทบาทด้านการค้ำจุนและธำรงรักษาความเป็นปึกแผ่นในสังคม เช่น เทพปกรณัมเกี่ยวกับศาสนา สถาบันกษัตริย์ หรือความเป็นชาติ เป็นต้น

และสี่ บทบาทด้านการแนะนำว่าควรจะใช้ชีวิตในแต่ละช่วงเวลาหรือในสถานการณ์ต่างๆ อย่างไร อันนี้เกี่ยวพันกับการดำเนินชีวิตของปัจเจกบุคคลโดยตรง เทพปกรณัมจึงเปรียบเหมือนแผนที่ทางจิตวิญญาณเพื่อไม่ให้หลงทางจากวิถีที่เหมาะสม หรือที่แคมพ์เบลล์เปรียบว่าเป็นดนตรีแห่งจักรวาล ซึ่งเราจะต้องร่ายรำให้กลมกลืนกับท่วงทำนองของมัน

ตามความเห็นของแคมพ์เบลล์ คำสาปของสังคมสมัยใหม่คือการลดทอนความเป็นมนุษย์ลงเป็นเพียงกลไกจนผู้คนรู้สึกว่าตนไร้ความสามารถที่จะเลือก และการแก้คำสาปนั้นก็อยู่ตรงการค้นหาเทพปกรณัมของตัวเองให้พบ ซึ่งแต่ละคนจะมีการผจญภัยที่ไม่เหมือนกันในแต่ละช่วงวัย แต่เป้าหมายน่าจะเหมือนกันคือการติดตามความสุขล้นพ้นของตนเองไปเพื่อชื่นชมกับสวนดอกไม้ของชีวิต.

[พิมพ์ครั้งแรก: Vote]

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น