วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

The Way to Art : ประมวลผลสู่การเห็นแจ้ง

เส้นทางสู่ศิลปะ (The Way to Art) / นักศึกษาปริญญาโท ภาควิชาจิตรกรรม คณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร / หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร, 21 เมษายน – 6 พฤษภาคม 2554

ศุภวัฒน์ วัฒนภิโกวิท “ตามกำลังสัตว์ทา” สีน้ำมันบนผ้าใบ, 120x160 ซม.

[ศุภวัฒน์ วัฒนภิโกวิท “ตามกำลังสัตว์ทา” สีน้ำมันบนผ้าใบ, 120x160 ซม.]

การศึกษาศิลปะในระดับมหาบัณฑิตหรือปริญญาโท เน้นไปที่การค้นคว้าทดลอง เพื่อให้ผู้เรียนค้นพบแนวทางของตัวเอง หลังจากผ่านการเรียนพื้นฐานในระดับปริญญาตรีมาแล้ว คณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นสถาบันเก่าแก่ที่วางรากฐานและเป็นศูนย์กลางของศิลปะร่วมสมัยมาช้านาน แนวทางการสอนก็มีมาตรฐานเข้มข้นเป็นระบบชัดเจน

“เส้นทางสู่ศิลปะ” (The way to art) เป็นการแสดงผลงานวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาภาควิชาจิตรกรรมปีล่าสุด จำนวน 10 คน จะเห็นผลงานที่เป็นการประมวลผลของการค้นคว้าทดลองระหว่างการเรียน เห็นกระบวนการคิดและกระบวนการทำงาน ตลอดจนเห็นตัวตนในฐานะมนุษย์ของศิลปินผู้สร้างงาน และเห็นสภาพสังคมแวดล้อมที่สะท้อนแฝงอยู่ด้วย

ผลสำเร็จที่เห็นได้ชัดอย่างแรกคือทักษะทางเทคนิค ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้แสดงคุณค่าเชิงผัสสะออกมาได้ตามที่ผู้สร้างงานต้องการ นักศึกษาต่างมีความสามารถเชี่ยวชาญในแนวทางที่ตนสนใจและถนัด ทำให้งานศิลปะที่สร้างสรรค์ขึ้นมามีคุณค่าทางสุนทรียะ ส่วนความคิดริเริ่มนั้นพอจะมีอยู่บ้าง และเป็นเรื่องของอนาคตที่แต่ละคนจะต้องขับเคี่ยวตนเอง นำรวมประสบการณ์กลั่นกรองออกมาเป็นเนื้อแท้ของชีวิตและศิลปะ

เบื้องต้นของการสร้างสรรค์งานศิลปะคือแรงขับของความคับข้องใจหรือความต้องการที่ถูกขัดขวางอยู่ภายใต้จิตสำนึก และศิลปินก็คือผู้ปรับเปลี่ยนความขัดแย้งในพฤติกรรมของมนุษย์ให้แสดงออกมาเป็นความงามทางอารมณ์ ผลงานของนักศึกษาแต่ละคนบ่งบอกว่าพวกเขามิได้เป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค เหมือนเช่นการศึกษาในระดับพื้นฐาน แต่ยังอาศัยแรงขับของสัญชาตญาณในการขับเคลื่อนออกมาเป็นผลผลิตทางศิลปะ นั่นเองที่ทำให้ผลงานของพวกเขามีพลัง

มองอย่างผิวเผินอาจเห็นเพียงสไตล์หรือกระบวนแบบที่สะดุดตา อย่างเช่นงานจิตรกรรม Super Realism ของ พีรนันท์ จันทมาศ ซึ่งขยายภาพถ่ายอาหารขึ้นมาเป็นงานจิตรกรรมขนาดใหญ่ข่มความรู้สึก แต่เนื้อหาในภาพสีสันจัดจ้านนั้นคือความจริงที่ถูกขยายขึ้นมาให้ตระหนก ไม่คุ้นตาด้วยขนาดที่ใหญ่เกินจริงไปมาก และสะท้อนความวิตกกังวลในใจมากกว่าที่จะเชิญชวนให้อยากกิน

งานสื่อผสมของ วรรณพล แสนคำ ใช้ยางพาราทาเคลือบลงไปบนวัตถุที่ทำให้ระลึกถึงคนที่ผูกพันและอดีตที่ผ่านพ้น เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ตู้ หน้าต่าง เหมือนจะทำแม่พิมพ์หล่อ แต่ก็เพียงลอกออกมา และจัดวางพร้อมวัตถุต้นแบบ เหมือนเป็นเงาของความทรงจำที่ปรากฏ ด้วยสีหม่นหมองและพื้นผิวผุกร่อนของแม่พิมพ์ที่ลอกออกมา สะท้อนถึงความทรงจำที่พร่าเลือนและแหว่งวิ่น เช่นเดียวกับกาลเวลาที่ไหลผ่าน มิอาจฉวยคว้าอะไรให้คงทน ไม่ว่าในโลกของความเป็นจริงและความทรงจำ

เช่นเดียวกับงานจิตรกรรมของ วัลลภัคร แข่งเพ็ญแข ซึ่งเป็นภาพเด็กทารกนอนหลับ ขยายขึ้นมาใหญ่โตเกินขอบ เห็นเพียงบางส่วนของใบหน้าและท่าทางทุรนทุราย เหมือนกำลังอยู่ในความฝัน แสดงฝีแปรงหยาบกระด้างสีสันหม่นมัว ปล่อยพื้นหลังโล่งว่าง มีวัตถุเช่นโต๊ะเก้าอี้อยู่ในอาการคล้ายเคลื่อนไหวเล่นกันในจินตนาการ เป็นเนื้อหาในเชิงจิตวิเคราะห์

น่าสนใจว่าแทบไม่มีนักศึกษาคนไหนทำงานในรูปแบบนามธรรมบริสุทธิ์ หรือแสดงความงามขององค์ประกอบศิลป์อย่างเดียวโดยไม่เกี่ยวพันกับชีวิตเลย อย่างน้อยก็ต้องมีรูปลักษณ์ที่อ้างอิงโลกแห่งความเป็นจริง หรืออ้างอิงกระบวนการทำงานที่เกี่ยวพันกับชีวิตความเป็นอยู่

อย่างงานจิตรกรรม Super Realism ของ นักรบ กระปุกทอง ขยายภาพถ่ายธรรมชาติที่ถูกรุกรานทำลายโดยเครื่องจักรกล แสดงรายละเอียดด้วยพื้นผิวอันเป็นเทคนิคของจิตรกรรม เพื่อขยายความรู้สึกหยาบกระด้างขึ้นมา เป็นภาพที่อาจพบเห็นได้ในทุกท้องถิ่น แต่เมื่อศิลปินนำมาขยายเก็บรายละเอียดด้วยความใส่ใจ (เหลือเกิน) พลังของงานจิตรกรรมที่เหมือนจริง (เหลือเกิน) ก็ชวนให้ใครต่อใครต้องหยุดพิจารณาไปด้วย

งานจิตรกรรมของ รณชัย กิติศักดิ์สิน ตัดต่อภาพวัตถุในความทรงจำมาประกอบเข้าด้วยกันในบรรยากาศฟุ้งฝันของจินตนาการ แต่ปรากฏอยู่ในอาการซ้อนเหลื่อมพร่าเลือนไม่ชัดเจน ขณะที่งานจิตรกรรมของ เกรียงไกร กุลพันธ์ อ้างอิงรูปแบบจิตรกรรมประเพณีท้องถิ่น เพื่อเล่าขานนิทานพื้นบ้าน อันเป็นสัญลักษณ์สะท้อนความในใจของศิลปินอีกชั้นหนึ่ง

ความจริงที่ประจักษ์เห็นในผลงานทั้งหมด ล้วนเป็นปัญหาเรื่องการดำรงอยู่ของมนุษย์ เป็นปรากฏการณ์ที่ศิลปินพบเห็นในการสำรวจชีวิตและสังคม และตระหนักถึงความคับข้องในตนเอง บ่งบอกว่ามโนภาพของความเป็นมนุษย์ที่พร่องไม่สมบูรณ์ซึ่งศิลปะหลังสมัยใหม่ฉายให้เห็น เข้ามามีบทบาทแม้ในสถาบันที่มีรากฐานของหลักวิชาแน่นหนา และเป็นฐานที่มั่นของศิลปะสมัยใหม่ซึ่งเชิดชูความสง่างามของมนุษย์ ผ่านคตินิยมที่แสดงความงามบริสุทธิ์ของกระบวนแบบหรือเทคนิคอันล้ำเลิศ

มิได้หมายความว่าจะหย่อนยานเรื่องชั้นเชิงฝีมือ แต่การเรียนที่ให้ความสำคัญกับกระบวนการคิด ขับเน้นให้ผู้เรียนต้องใส่ใจต่อเนื้อหานอกเหนือจากรูปแบบภายนอก กล่าวคือนอกจากความงามที่มองเห็น ยังต้องมีความงามที่นึกเห็นด้วย ความงามในมโนคติจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีความรู้สึกหรือปัญญาให้สัมผัสถึงหรือรองรับ

การคิดของศิลปินทัศนศิลป์อาจไม่ได้จำกัดด้วยถ้อยคำ แต่คิดด้วยภาพหรือจินตทัศน์ ซึ่งจะเปิดกว้างต่อการตีความ ภาพเหล่านั้นอาจเป็นสัญลักษณ์ที่ซ่อนเร้นความหมายหลากหลาย และเปิดกว้างต่อปฏิสัมพันธ์ มีลักษณะส่วนตัว หรือตอบสนองต่อความเคลื่อนไหวในสังคม ซึ่งนอกจากจะแสดงบุคลิกลักษณะของศิลปินแล้ว ยังบอกการเห็นแจ้งของศิลปินด้วย

งานจิตรกรรมของ พิเชษฐ บุรพธานินทร์ ประกอบภาพสิ่งก่อสร้างทางสถาปัตยกรรมในลักษณะเสื่อมพังไม่มั่นคง บอกถึงการเห็นอนิจจังในแก่นสาร งานจิตรกรรมของ ศุภวัฒน์ วัฒนภิโกวิท เล่นกับมายาคติของสัญลักษณ์ในพระพุทธศาสนา เพื่อแสดงแก่นธรรมในด้านกลับผ่านการวิพากษ์ งานจิตรกรรมของ สุเมธ พัดเอี่ยม เป็นงานกึ่งนามธรรมที่สะท้อนจินตภาพแทนรูปทรงของจิต และงานสื่อผสมของ สุนทรี เฉลียวพงษ์ ก็ใช้เทคนิคของงานเย็บปักถักร้อยมาถ่ายทอดห้วงความรู้สึกภายในของผู้หญิง แม้จะปรากฏเป็นภาพนามธรรมไร้รูปลักษณ์ แต่ร่องรอยของการถักร้อยก็ให้ระลึกถึงสิ่งที่คุ้นคล้ายในชีวิตประจำวัน

แรงจูงใจของศิลปินทำให้เขากระหายที่จะถ่ายทอดทัศนภาพภายในของตนออกมา หากเป็นไปอย่างเที่ยงแท้ก็จะแทนทัศนภาพภายในของผู้อื่นด้วย การค้นหาเพื่อทำความเข้าใจของศิลปินจึงเป็นการสะสางปัญหาของผู้อื่นไปพร้อมกัน.

[พิมพ์ครั้งแรก: Vote]

วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

วิรุณ ตั้งเจริญ : เจตคติในรูปนาม


รูป นาม ความคิด (Abstract Applied Attitude) / วิรุณ ตั้งเจริญ / แกลเลอรี่ g23 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 4 กุมภาพันธ์ – 22 พฤษภาคม 2554

“The Same Piece of Charcoal II” สีน้ำมันบนผ้าใบ, ปี 2552
























[“The Same Piece of Charcoal II” สีน้ำมันบนผ้าใบ, ปี 2552]

งานนิทรรศการศิลปะ “รูป นาม ความคิด” (Abstract Applied Attitude) ของ วิรุณ ตั้งเจริญ เป็นหนึ่งในกิจกรรมเปิดพื้นที่ทางศิลปวัฒนธรรมแห่งใหม่ของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ทั้งแกลเลอรี่ g23 และศูนย์ศิลปกรรมแห่งประเทศไทย “SWUACT” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่บริการและนวัตกรรม “SWUNIPLEX” ริมถนนอโศกมนตรี ศูนย์กลางธุรกิจที่สำคัญแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร

ด้วยอรรถประโยชน์ครบวงจรทั้งด้านการศึกษา บริการสาธารณะ การจัดแสดงและพัฒนานวัตกรรม บริเวณนี้ย่อมกลายเป็นแหล่งความรู้และกิจกรรมสร้างสรรค์ที่สำคัญในอนาคต อย่างศูนย์ศิลปกรรมก็ครอบคลุมทั้งงานทัศนศิลป์ ดนตรี ศิลปะการแสดง แฟชั่น เครื่องประดับ มัลติมีเดียและแอนิเมชั่น มีหอศิลป์และห้องจัดแสดงครบครัน

ปัจจุบัน ศ.ดร.วิรุณ ตั้งเจริญ ดำรงตำแหน่งอธิการบดี มีบทบาทเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัย กำหนดแนวทางดำเนินนโยบาย ก่อนหน้านี้เขาเป็นที่รู้จักในฐานะนักการศึกษาและนักการศิลปะที่ขยันขันแข็ง ทำกิจกรรมและมีผลงานมากมาย ทั้งในบทบาทของนักวิชาการ อาจารย์ และผู้บริหาร นักกิจกรรมเพื่อสังคม บรรณาธิการ และนักวิจารณ์ศิลปะ ตลอดจนบทบาทของศิลปิน กวี และนักเขียน

แม้ทำงานหลากหลาย แต่ทั้งหมดก็ขมวดอยู่ในเจตคติเดียวกัน นั่นคือความสนใจต่อองค์ความรู้และพัฒนาการศึกษา

งานศิลปะของวิรุณจึงมิได้อยู่ในฐานะปัจเจกศิลปินเพียงลำพัง แต่ยังคาบเกี่ยวกับบทบาทด้านอื่น และแฝงเจตคติจากแนวทางความคิดของเขาโดยตลอด

“รูป นาม ความคิด” เป็นนิทรรศการที่รวบรวมและคัดสรรผลงานจิตรกรรมของวิรุณในแต่ละช่วงเวลามาจัดแสดง นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน รวมเวลากว่า 30 ปี เพื่อให้เห็นตัวตนของเขา พัฒนาการของรูปแบบและเนื้อหา ตลอดจนสภาพสังคมตามยุคสมัยที่สะท้อนอยู่ในการแสดงออกของเขา

ด้วยบทบาทที่ผ่านมา ต้องนับว่าเขาเป็นแรงกระเพื่อมหนึ่งในแวดวงศิลปะร่วมสมัย และถือว่าเป็นตัวแทนของความคิดอีกฟากฝั่งหนึ่งทั้งทางวิชาการและปฏิบัติ

กล่าวโดยทั่วไปแล้ว งานจิตรกรรมของวิรุณจัดอยู่ในแนวแบบ Abstract Expressionism ตามอิทธิพลของศิลปะอเมริกันในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ที่แตกต่างออกมาคืองานของเขาแฝงเนื้อหาสะท้อนชีวิตและสังคมไว้ในเจตคติหรือท่าทีด้วย

เป็นท่าทีที่อยู่ตรงข้ามกับกระแสหลักของศิลปะร่วมสมัยในยุคสมัยที่ผ่านมา ซึ่งเน้นความช่ำชองของทักษะฝีมือตามหลักวิชา และเชิดชูความงามบริสุทธิ์ไว้เหนือคุณค่าด้านอื่น

กล่าวได้ว่าแนวนิยมกระแสหลักก็คือความคิดแบบ “ศิลปะเพื่อศิลปะ” ขณะที่จุดยืนของวิรุณจะอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่ง คือแนวคิดแบบ “ศิลปะเพื่อชีวิต”

แม้ทั้งสองฝ่ายจะเคยปะทะกันทางความคิดบ้าง แต่เอาเข้าจริงแล้วแทบไม่มีหลักเกณฑ์อะไรแยกออกจากกัน กระทั่งตัวงานก็ปะปนกันอยู่ทั้งสองกลุ่ม จะต่างกันเพียงการแสดงความคิดเชิงสังคมและการเมือง แต่ก็ไม่ส่งผลต่อรูปแบบการทำงานมากนัก

ทางฝ่าย “ศิลปะเพื่อชีวิต” อาจจะด้อยกว่าด้วยซ้ำ เพราะให้ความสำคัญกับคุณภาพของตัวงานน้อยกว่า และกลบเกลื่อนอยู่ภายใต้การแสดงความคิด แต่ก็ไม่ได้เป็นอุดมคติที่มีหลักการชัดเจน

อย่างวิรุณก็เป็นผลผลิตของการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเร่งรัดในยุคสงครามเย็น แนวคิดทางการศึกษารวมถึงแนวแบบในการทำงานศิลปะของเขาก็อยู่ในรอยทางแบบเสรีนิยม สำนึกเชิงสังคมที่แฝงอยู่อาจจะมาจากความตระหนักในสาระความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพที่ไม่เท่าเทียมกัน รวมถึงความขัดแย้งเชิงโครงสร้างของสังคม

งานจิตรกรรมของวิรุณจึงไม่ปลอดโปร่งหรือแสดงความงามบริสุทธิ์ของทัศนธาตุทางศิลปะ แต่จะรกเลอะไปด้วยฝีแปรงหรือรูปลักษณ์ที่ก่อกวนความรู้สึก เหมือนจะชวนให้คิด ภาพนามธรรมของโครงสร้างรูปทรงที่ถูกทำลายจนเหลือเพียงเค้าร่างที่คุ้นคล้าย แรงด้วยสีและเส้นฝีแปรงทึบหนา ทับซ้ำฉับพลัน ทิ้งร่องรอยพื้นผิวหยาบเปื้อน ปล่อยพลังจากจิตใต้สำนึกออกมา และปล่อยให้ปรากฏอยู่เช่นนั้น

เค้าร่างที่คล้ายจะเป็นหน้าคน ร่างผู้หญิงเปลือย ทิวทัศน์ ท้องทุ่ง หรือชุมชนแออัด กระทั่งรูปทรงในมโนคติ แทบจะดูไม่ออกว่าเป็นภาพอะไร แต่ก็คล้ายจะมีเรื่องเล่าแฝงอยู่ในการเคลื่อนไหวนั้น เป็นภาษาที่แสดงออกด้วยเส้นสีฝีแปรง มิใช่ตัวอักษร

บางภาพมีนัยของการวางจังหวะในลักษณะกวีนิพนธ์
ความขุ่นข้องที่ปาดป้ายปะปนขัดแย้งอยู่ในสีสันสดใสนั้นบ่งบอกถึงความวิตกกังวล แม้ไม่ได้บอกเล่าเรื่องราวแต่ก็บอกความรู้สึก

มีความเป็นนักคิดอยู่ในการแสดงออกทางศิลปะของวิรุณ นั่นเป็นข้อจำกัดให้เขาไม่อาจปลดปล่อยตัวเองไปตามสัญชาตญาณได้อย่างอิสระ หลายชิ้นงานจึงเห็นถึงความคาดหมาย มิใช่การค้นพบ หากเขาเป็นตัวแทนของแนวคิดทางศิลปะในกลุ่มพวกหนึ่ง มันก็บอกถึงข้อบกพร่องอย่างสำคัญในแนวทางนั้น

นั่นคือการคาดหมายความจริง มิใช่การค้นพบความจริง

งานจิตรกรรมของวิรุณเป็นการแสดงความรู้สึกเชิงจิตวิสัย ปลดปล่อยความรู้สึกภายในของศิลปิน แม้จะมีตัวแบบจากวัตถุวิสัยในโลกของความเป็นจริง แต่ก็ผ่านกระบวนการบิดผันในตัวตนออกมาแล้ว ต้นแบบของศิลปะทำนองนี้เป็นจิตใจแบบสมัยใหม่ที่เชิดชูปัจเจกภาพเป็นสำคัญ แต่อารมณ์สะเทือนใจของศิลปินก็หาใช่มาจากการหมกมุ่นอยู่แต่ตัวเองเท่านั้น สำนึกเชิงสังคมก็มีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของศิลปินได้เหมือนกัน

เป็นสำนึกในความรู้สึกของมนุษย์มากกว่าสำนึกเชิงศีลธรรม เป็นกระบวนการรู้คิดที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าจากปรากฏการณ์ที่รู้เห็น และเป็นร่องรอยของธรรมชาติความเป็นมนุษย์ท่ามกลางความเจริญและความเสื่อมของวัตถุภายนอก

งานศิลปะของวิรุณบอกมิติความเป็นมนุษย์ในตัวเขา เช่นเดียวกับบทกวีและงานวรรณกรรมของเขา การเติบโตมาในยุคแสวงหา ก่อนที่จะรวมกลุ่มทำกิจกรรมเชิงสังคม หล่อหลอมให้จิตสำนึกของเขาแข็งแกร่ง แม้จะทำงานราชการ แต่ก็ประสบความสำเร็จในวิชาชีพโดยไม่สูญเสียความเป็นตัวเอง

การสร้างสรรค์งานศิลปะไม่จำกัดอยู่กับช่วงวัย นอกเหนือจากภารกิจที่ต้องทำ หนทางแห่งศิลปินจึงยังคงทอดยาวสำหรับ วิรุณ ตั้งเจริญ.

[พิมพ์ครั้งแรก: Vote]