วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

วิรุณ ตั้งเจริญ : เจตคติในรูปนาม


รูป นาม ความคิด (Abstract Applied Attitude) / วิรุณ ตั้งเจริญ / แกลเลอรี่ g23 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 4 กุมภาพันธ์ – 22 พฤษภาคม 2554

“The Same Piece of Charcoal II” สีน้ำมันบนผ้าใบ, ปี 2552
























[“The Same Piece of Charcoal II” สีน้ำมันบนผ้าใบ, ปี 2552]

งานนิทรรศการศิลปะ “รูป นาม ความคิด” (Abstract Applied Attitude) ของ วิรุณ ตั้งเจริญ เป็นหนึ่งในกิจกรรมเปิดพื้นที่ทางศิลปวัฒนธรรมแห่งใหม่ของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ทั้งแกลเลอรี่ g23 และศูนย์ศิลปกรรมแห่งประเทศไทย “SWUACT” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่บริการและนวัตกรรม “SWUNIPLEX” ริมถนนอโศกมนตรี ศูนย์กลางธุรกิจที่สำคัญแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร

ด้วยอรรถประโยชน์ครบวงจรทั้งด้านการศึกษา บริการสาธารณะ การจัดแสดงและพัฒนานวัตกรรม บริเวณนี้ย่อมกลายเป็นแหล่งความรู้และกิจกรรมสร้างสรรค์ที่สำคัญในอนาคต อย่างศูนย์ศิลปกรรมก็ครอบคลุมทั้งงานทัศนศิลป์ ดนตรี ศิลปะการแสดง แฟชั่น เครื่องประดับ มัลติมีเดียและแอนิเมชั่น มีหอศิลป์และห้องจัดแสดงครบครัน

ปัจจุบัน ศ.ดร.วิรุณ ตั้งเจริญ ดำรงตำแหน่งอธิการบดี มีบทบาทเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัย กำหนดแนวทางดำเนินนโยบาย ก่อนหน้านี้เขาเป็นที่รู้จักในฐานะนักการศึกษาและนักการศิลปะที่ขยันขันแข็ง ทำกิจกรรมและมีผลงานมากมาย ทั้งในบทบาทของนักวิชาการ อาจารย์ และผู้บริหาร นักกิจกรรมเพื่อสังคม บรรณาธิการ และนักวิจารณ์ศิลปะ ตลอดจนบทบาทของศิลปิน กวี และนักเขียน

แม้ทำงานหลากหลาย แต่ทั้งหมดก็ขมวดอยู่ในเจตคติเดียวกัน นั่นคือความสนใจต่อองค์ความรู้และพัฒนาการศึกษา

งานศิลปะของวิรุณจึงมิได้อยู่ในฐานะปัจเจกศิลปินเพียงลำพัง แต่ยังคาบเกี่ยวกับบทบาทด้านอื่น และแฝงเจตคติจากแนวทางความคิดของเขาโดยตลอด

“รูป นาม ความคิด” เป็นนิทรรศการที่รวบรวมและคัดสรรผลงานจิตรกรรมของวิรุณในแต่ละช่วงเวลามาจัดแสดง นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน รวมเวลากว่า 30 ปี เพื่อให้เห็นตัวตนของเขา พัฒนาการของรูปแบบและเนื้อหา ตลอดจนสภาพสังคมตามยุคสมัยที่สะท้อนอยู่ในการแสดงออกของเขา

ด้วยบทบาทที่ผ่านมา ต้องนับว่าเขาเป็นแรงกระเพื่อมหนึ่งในแวดวงศิลปะร่วมสมัย และถือว่าเป็นตัวแทนของความคิดอีกฟากฝั่งหนึ่งทั้งทางวิชาการและปฏิบัติ

กล่าวโดยทั่วไปแล้ว งานจิตรกรรมของวิรุณจัดอยู่ในแนวแบบ Abstract Expressionism ตามอิทธิพลของศิลปะอเมริกันในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ที่แตกต่างออกมาคืองานของเขาแฝงเนื้อหาสะท้อนชีวิตและสังคมไว้ในเจตคติหรือท่าทีด้วย

เป็นท่าทีที่อยู่ตรงข้ามกับกระแสหลักของศิลปะร่วมสมัยในยุคสมัยที่ผ่านมา ซึ่งเน้นความช่ำชองของทักษะฝีมือตามหลักวิชา และเชิดชูความงามบริสุทธิ์ไว้เหนือคุณค่าด้านอื่น

กล่าวได้ว่าแนวนิยมกระแสหลักก็คือความคิดแบบ “ศิลปะเพื่อศิลปะ” ขณะที่จุดยืนของวิรุณจะอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่ง คือแนวคิดแบบ “ศิลปะเพื่อชีวิต”

แม้ทั้งสองฝ่ายจะเคยปะทะกันทางความคิดบ้าง แต่เอาเข้าจริงแล้วแทบไม่มีหลักเกณฑ์อะไรแยกออกจากกัน กระทั่งตัวงานก็ปะปนกันอยู่ทั้งสองกลุ่ม จะต่างกันเพียงการแสดงความคิดเชิงสังคมและการเมือง แต่ก็ไม่ส่งผลต่อรูปแบบการทำงานมากนัก

ทางฝ่าย “ศิลปะเพื่อชีวิต” อาจจะด้อยกว่าด้วยซ้ำ เพราะให้ความสำคัญกับคุณภาพของตัวงานน้อยกว่า และกลบเกลื่อนอยู่ภายใต้การแสดงความคิด แต่ก็ไม่ได้เป็นอุดมคติที่มีหลักการชัดเจน

อย่างวิรุณก็เป็นผลผลิตของการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเร่งรัดในยุคสงครามเย็น แนวคิดทางการศึกษารวมถึงแนวแบบในการทำงานศิลปะของเขาก็อยู่ในรอยทางแบบเสรีนิยม สำนึกเชิงสังคมที่แฝงอยู่อาจจะมาจากความตระหนักในสาระความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพที่ไม่เท่าเทียมกัน รวมถึงความขัดแย้งเชิงโครงสร้างของสังคม

งานจิตรกรรมของวิรุณจึงไม่ปลอดโปร่งหรือแสดงความงามบริสุทธิ์ของทัศนธาตุทางศิลปะ แต่จะรกเลอะไปด้วยฝีแปรงหรือรูปลักษณ์ที่ก่อกวนความรู้สึก เหมือนจะชวนให้คิด ภาพนามธรรมของโครงสร้างรูปทรงที่ถูกทำลายจนเหลือเพียงเค้าร่างที่คุ้นคล้าย แรงด้วยสีและเส้นฝีแปรงทึบหนา ทับซ้ำฉับพลัน ทิ้งร่องรอยพื้นผิวหยาบเปื้อน ปล่อยพลังจากจิตใต้สำนึกออกมา และปล่อยให้ปรากฏอยู่เช่นนั้น

เค้าร่างที่คล้ายจะเป็นหน้าคน ร่างผู้หญิงเปลือย ทิวทัศน์ ท้องทุ่ง หรือชุมชนแออัด กระทั่งรูปทรงในมโนคติ แทบจะดูไม่ออกว่าเป็นภาพอะไร แต่ก็คล้ายจะมีเรื่องเล่าแฝงอยู่ในการเคลื่อนไหวนั้น เป็นภาษาที่แสดงออกด้วยเส้นสีฝีแปรง มิใช่ตัวอักษร

บางภาพมีนัยของการวางจังหวะในลักษณะกวีนิพนธ์
ความขุ่นข้องที่ปาดป้ายปะปนขัดแย้งอยู่ในสีสันสดใสนั้นบ่งบอกถึงความวิตกกังวล แม้ไม่ได้บอกเล่าเรื่องราวแต่ก็บอกความรู้สึก

มีความเป็นนักคิดอยู่ในการแสดงออกทางศิลปะของวิรุณ นั่นเป็นข้อจำกัดให้เขาไม่อาจปลดปล่อยตัวเองไปตามสัญชาตญาณได้อย่างอิสระ หลายชิ้นงานจึงเห็นถึงความคาดหมาย มิใช่การค้นพบ หากเขาเป็นตัวแทนของแนวคิดทางศิลปะในกลุ่มพวกหนึ่ง มันก็บอกถึงข้อบกพร่องอย่างสำคัญในแนวทางนั้น

นั่นคือการคาดหมายความจริง มิใช่การค้นพบความจริง

งานจิตรกรรมของวิรุณเป็นการแสดงความรู้สึกเชิงจิตวิสัย ปลดปล่อยความรู้สึกภายในของศิลปิน แม้จะมีตัวแบบจากวัตถุวิสัยในโลกของความเป็นจริง แต่ก็ผ่านกระบวนการบิดผันในตัวตนออกมาแล้ว ต้นแบบของศิลปะทำนองนี้เป็นจิตใจแบบสมัยใหม่ที่เชิดชูปัจเจกภาพเป็นสำคัญ แต่อารมณ์สะเทือนใจของศิลปินก็หาใช่มาจากการหมกมุ่นอยู่แต่ตัวเองเท่านั้น สำนึกเชิงสังคมก็มีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของศิลปินได้เหมือนกัน

เป็นสำนึกในความรู้สึกของมนุษย์มากกว่าสำนึกเชิงศีลธรรม เป็นกระบวนการรู้คิดที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าจากปรากฏการณ์ที่รู้เห็น และเป็นร่องรอยของธรรมชาติความเป็นมนุษย์ท่ามกลางความเจริญและความเสื่อมของวัตถุภายนอก

งานศิลปะของวิรุณบอกมิติความเป็นมนุษย์ในตัวเขา เช่นเดียวกับบทกวีและงานวรรณกรรมของเขา การเติบโตมาในยุคแสวงหา ก่อนที่จะรวมกลุ่มทำกิจกรรมเชิงสังคม หล่อหลอมให้จิตสำนึกของเขาแข็งแกร่ง แม้จะทำงานราชการ แต่ก็ประสบความสำเร็จในวิชาชีพโดยไม่สูญเสียความเป็นตัวเอง

การสร้างสรรค์งานศิลปะไม่จำกัดอยู่กับช่วงวัย นอกเหนือจากภารกิจที่ต้องทำ หนทางแห่งศิลปินจึงยังคงทอดยาวสำหรับ วิรุณ ตั้งเจริญ.

[พิมพ์ครั้งแรก: Vote]

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น