วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

สมรรถพลและพุทธิปัญญาในจิตรกรรมบัวหลวง

ทศวรรษที่ 3 จิตรกรรมบัวหลวง / หอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ, 7 กุมภาพันธ์ – 27 มีนาคม 2555

“เสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์” สุรทิน  ตาตะน๊ะ, สีอะคริลิค 165x125 ซม.

[“เสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์” สุรทิน ตาตะน๊ะ, สีอะคริลิค 165x125 ซม.]

เป็นเวลาสามสิบกว่าปีมาแล้วที่มูลนิธิธนาคารกรุงเทพจัดประกวดรางวัล “จิตรกรรมบัวหลวง” ซึ่งจัดขึ้นครั้งแรกในปี 2517 นับเป็นเวทีสำคัญในการส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย เปิดทางให้ศิลปินรุ่นใหม่ก้าวขึ้นสู่ความสำเร็จ รองลงมาจากเวทีการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ มีบทบาทต่อการสังสรรค์และพัฒนาแบบอย่างทางศิลปะ โดยเฉพาะจิตรกรรมไทยประเพณีซึ่งเวทีจิตรกรรมบัวหลวงให้การขับเน้น

เนื่องในวาระครบ 30 ปี ได้มีการจัดนิทรรศการพิเศษ แสดงผลงานของศิลปินที่เคยได้รับรางวัลย้อนหลัง พร้อมกับผลงานในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 3 ครั้ง คือ “ทศวรรษที่ 1 จิตรกรรมบัวหลวง” รวมงานของศิลปินที่ได้รางวัลตั้งแต่ครั้งที่ 1-10 ระหว่างปี 2517-2529 ซึ่งจัดขึ้นในปี 2551 “ทศวรรษที่ 2 จิตรกรรมบัวหลวง” รวมงานตั้งแต่ครั้งที่ 11-20 ระหว่างปี 2530-2539 จัดในปี 2552 และ “ทศวรรษที่ 3 จิตรกรรมบัวหลวง” รวมงานครั้งที่ 21-30 ระหว่างปี 2540-2551 เลื่อนมาจัดในปีนี้เอง

การประกวดจิตรกรรมบัวหลวงแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ จิตรกรรมไทยแบบประเพณี จิตรกรรมไทยแนวประเพณี และจิตรกรรมร่วมสมัย จิตรกรรมแบบประเพณีจะรักษาขนบธรรมเนียมตามแบบแผนไว้เป็นสำคัญ ส่วนจิตรกรรมไทย “แนว” ประเพณีจะเป็นรูปแบบประยุกต์ดัดแปลง และจิตรกรรมร่วมสมัยก็เปิดกว้างทางรูปแบบอย่างอิสระ

กระนั้นในระยะหลังการแบ่งประเภทก็เลือนเข้าหากัน เนื่องจากจิตรกรรมไทยประเพณีมีการนำเทคนิควิธีของจิตรกรรมร่วมสมัยมาปรับใช้อยู่มาก ขณะที่จิตกรรมร่วมสมัยก็นำหลายอย่างจากศิลปะประเพณีและศิลปะพื้นบ้านมาสร้างสรรค์

จิตรกรรมบัวหลวงเป็นสนามสำคัญให้ศิลปินร่วมสมัยแสดงออกถึงความเป็นไทยในปัจจุบัน ขณะที่สังคมสมัยใหม่ก้าวเข้าสู่ความเป็นสากล ซึ่งวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลกแทบจะเหมือนกันไปหมด การรักษาไว้ซึ่งอัตลักษณ์ประจำชาติเป็นเรื่องที่คนในสังคมตระหนัก เห็นจำเป็นทั้งทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ แต่จะรักษาและพัฒนาไปอย่างไรเป็นโจทย์ที่ต้องพิจารณากันหลายชั้น ทั้งในชั้นแก่น กระพี้ และเปลือกนอก

งานศิลปะดั้งเดิมไม่ได้แยกออกจากชีวิตประจำวัน แต่เป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของผู้คน รวมอยู่ในข้าวของเครื่องใช้ การตกแต่งประดับประดา ความเชื่อ ศาสนา ประเพณีและพิธีกรรม แม้กระทั่งศิลปินผู้สร้างก็ไม่สลักสำคัญเท่ากับการสืบทอดแนวทางที่ยึดถือกันมา บางครั้งการทำอะไรผิดแปลกแหวกแนวถือเป็นการนอกครูที่มีความผิดร้ายแรง แต่ศิลปะสมัยใหม่ต้องการแสดงสมรรถพลของศิลปินในฐานะปัจเจกที่มีความโดดเด่นไม่เหมือนใครอื่น การลอกเลียนแนวทางของผู้อื่นถือเป็นความผิดร้ายแรงของศิลปินในปัจจุบัน

งานจิตรกรรมก็แยกตัวออกมาจากการประดับตกแต่ง เพื่อแสดงพุทธิปัญญาในการสร้างสรรค์ด้วยตนเอง กล่าวได้ว่างานจิตรกรรมแบบประเพณีในปัจจุบันก้าวหน้ากว่าอดีตมาก ด้วยศิลปินได้รับการศึกษาตามหลักวิชาอย่างเป็นระบบระเบียบ ประกอบกับเทคนิควิธีและวัสดุอุปกรณ์ได้พัฒนาไปมาก

แนวทางจะเริ่มเห็นตั้งแต่การนำเทคนิคการวาดภาพของศิลปะตะวันตกมาผสมผสานกับจิตรกรรมไทย อย่างที่เห็นในงานของขรัวอินโข่ง, สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศนานุวัดติวงศ์, พระเทวาภินิมมิต และเหม เวชกร จากนั้นก็เป็นการผสมผสานกับรูปแบบการแสดงออกตามอย่างลัทธิต่างๆ ของศิลปะสมัยใหม่ อย่างงานของ ชลูด นิ่มเสมอ, เฉลิม นาคีรักษ์, ถวัลย์ ดัชนี และอังคาร กัลยาณพงศ์ จนกระทั่งมาถึงปัจจุบันซึ่งมีการตีความและพัฒนาไปในหลายทิศทาง ซึ่งเห็นได้ตั้งแต่การประกวดจิตรกรรมบัวหลวงในปี 2517 เป็นต้นมา

ทศวรรษที่ 1 จิตรกรรมบัวหลวง จะเห็นฝีมือของศิลปินที่ผ่านการศึกษาฝึกฝนมาอย่างล้ำเลิศ อย่างการแสดงมุมมองของจิตรกรรมไทยผ่านแสงเงาของสถาปัตยกรรมในงานของ ปรีชา เถาทอง การแสดงความงามอันวิจิตรบรรจงในงานของ เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ และการแปรแปลงเป็นจินตนาการเหนือจริงในงานของ ปัญญา วิจินธนสาร นอกจากนี้ยังเห็นชั้นเชิงในการจัดองค์ประกอบ เพื่อแสดงความงามของทัศนธาตุทางศิลปะในลักษณะนามธรรมในงานของ อิทธิพล ตั้งโฉลก, พิษณุ ศุภนิมิต และปริญญา ตันติสุข

พอเข้าสู่ทศวรรษที่ 2 จิตรกรรมบัวหลวง จะเห็นแรงบันดาลใจของศิลปินที่หลากหลายออกไปตามภูมิหลังและความสนใจเฉพาะตัว อย่างงานจิตรกรรมที่แสดงกลิ่นอายท้องถิ่นทางเหนือของ ประสงค์ ลือเมือง และเนติกร ชินโย หรือท้องถิ่นทางอีสานในงานของ ธีระวัฒน์ คะนะมะ และจินตนา เปี่ยมศิริ การนำสัญลักษณ์ของศิลปะประเพณีมาปรับใช้ในลักษณะนามธรรม อย่างงานของ ธงชัย ศรีสุขประเสริฐ, เกรียงไกร วงษ์ปิติรัตน์ และอภิชัย ภิรมย์รักษ์ ส่วนจิตรกรรมร่วมสมัยก็จะเห็นงานที่สะท้อนตัวตนและสังคม อย่างงานของ ชาติชาย ปุยเปีย, สันติ ทองสุข และนาวิน เบียดกลาง

ส่วนทศวรรษที่ 3 จิตรกรรมบัวหลวง จะเห็นการลงรายละเอียดที่ลึกซึ้งขึ้น ทั้งในชั้นเชิงฝีมืออันวิจิตรอลังการ การเข้าถึงจิตวิญญาณพื้นบ้าน การใช้กลวิธีและวัสดุที่ให้ประสิทธิผล รวมถึงการนำเสนอมโนภาพในด้านที่เลวร้ายของชีวิตและสังคม นอกเหนือจากความงดงามที่เป็นอุดมคติเท่านั้น

จะเห็นชั้นเชิงฝีมืออันประณีต ละเอียดอ่อน ลำดับองค์ประกอบและควบคุมน้ำหนักบรรยากาศได้อย่างงดงาม ในงานของ สุรทิน ตาตะน๊ะ, เกรียงไกร เมืองมูล และพรมมา อินยาศรี หรือการแสดงฝีมือผ่านกลวิธีและวัสดุดั้งเดิมได้อย่างลงตัว อย่างงานรดน้ำลายทองของ สิโรจน์ พวงบุปผา และปรัชญ์ อินทรัตน์

การนำเสนอความเป็นพื้นบ้านท้องถิ่นมิใช่เป็นเพียงกลิ่นอาย แต่เข้าถึงรูปแบบและวิถีชีวิต หรือเรียกได้ว่าจับจิตวิญญาณขึ้นมาต่อยอดเป็นงานร่วมสมัย มีการแสดงออกที่จริงใจ ซื่อ และเป็นอิสระอย่างช่างพื้นบ้านมากกว่าช่างหลวง อย่างงานของ ลิปิกร พวงแก้ว ภาพพระบฏที่เสียดสีความเสื่อมของประเพณีความเชื่อของ นพวงษ์ เบ้าทอง งานตกแต่งสิมหรือโบสถ์ทางอีสานของ อัศวิณีย์ หวานจริง ขณะที่งานของ ชวลิต อุ๋ยจ๋าย และเจะอับดุลเลาะ เจ๊ะสอเหาะ ก็สะท้อนบรรยากาศและสภาพชีวิตทางภาคใต้

การใช้วัสดุและสื่อผสมก็ทำให้เกิดความงามอันแปลกตา เกิดมิติในการมองเห็นที่มากกว่าระนาบแบนเรียบธรรมดา อย่างงานของ สากล สุทธิมาลย์ ซึ่งใช้ปูนปั้นเป็นภาพนูนต่ำและวาดทับด้วยสีฝุ่น หรืองานจิตรกรรมสื่อผสมของ ศรัณย์ ศิริเจริญ และระฐาพัชร์ พิชิตศิลปะธำรง เล่นระดับกับมิติทางสายตา งานวาดเส้นร้อนบนไม้ของ อภิชาติ เอี่ยมวิจารณ์ ก็ถ่ายทอดความทุกข์ทรมานของไฟนรกได้อย่างถึงอารมณ์

จิตรกรรมไทยในปัจจุบันมิได้สืบทอดอุดมคติจากอดีตเพียงถ่ายเดียว แต่ยังมีการตีความด้วยพุทธิปัญญาของศิลปินเอง อันเป็นผลมาจากทักษะ ความรู้สึกนึกคิดของศิลปิน และสภาพแวดล้อมของสังคม จินตภาพในจิตรกรรมที่เนรมิตขึ้นมาจึงยังคงสะท้อนมาจากชีวิตและสังคมนั่นเอง.

[พิมพ์ครั้งแรก: Vote]

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น