วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ขาดๆ เกินๆ ก็กรุงเทพฯ

Bangkok Stories / หลายคนเขียน / Fullstop Publishing, ตุลาคม 2552

Bangkok Stories / Fullstop Publishing

นักเขียนการ์ตูนไทยปัจจุบันมีพัฒนาการใช่น้อย แม้ขนาดตลาดจะจำกัด ทำให้การลงทุนสู้สังคมที่มีความพร้อมกว่าไม่ได้ แต่ในแง่ของฝีมือและมุมมอง ความเฉียบคมไม่เป็นรองใครแน่นอน

สภาพของสังคมไทยมีส่วนอย่างมากในการหล่อหลอมผลงานที่ดีขึ้นมา ท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒนธรรม มีขนบธรรมเนียมเดิมอยู่เป็นพื้น และเปิดกว้างต่อความทันสมัย ชีวิตของผู้คนที่ผสมปนเปกันทั้งยากดีมีจน ก่อให้เกิดประสบการณ์ทางความรู้สึกที่แตกต่างกัน เป็นวัตถุดิบชั้นดีสำหรับนักเขียนที่สามารถคลี่คลายจากอิทธิพลที่ได้รับมาเบื้องต้น และต้องการสร้างตัวตนขึ้นมาจากแรงบันดาลใจรายรอบตัว

อาจแบ่งนักเขียนการ์ตูนออกได้เป็น 2 กลุ่มกว้างๆ คือ กลุ่มที่ทำงานตามความต้องการของตลาด กับกลุ่มที่ทำงานตามความต้องการของตัวเอง กลุ่มแรกอาจจะมีรูปแบบและเนื้อหาตามธรรมเนียมการอ่านในวงกว้าง ทั้งในแง่ความบันเทิงหรือในเชิงความรู้ก็ตาม ส่วนกลุ่มหลังจะมุ่งหมายแสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง และมีความเป็นตัวของตัวเองมากกว่า แต่ก็จะมีข้อจำกัดในการสื่อสารกับคนวงกว้าง

เพราะความต้องการที่จะบอกเล่าความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง ทำให้ผลงานของนักเขียนในกลุ่มหลังสะท้อนความเป็นไปของสังคมได้มากกว่า นอกเหนือจากความหลากหลายของรูปแบบการทำงานที่แตกต่างกันไปตามลักษณะเฉพาะของตน

มีหลายสำนักพิมพ์ที่รวบรวมนักเขียนการ์ตูนอิสระเหล่านี้เป็นเล่มเฉพาะกิจ ตามแต่ความคิดรวบยอดที่ตั้งขึ้นมา เช่น สำนักพิมพ์ Fullstop ซึ่งมักจะเน้นทำหนังสือที่มีการออกแบบรูปเล่มสวยงาม ก็มีหนังสือการ์ตูนรวมนักเขียนออกมาเป็นระยะ

เล่มหนึ่งคือ Bangkok Stories ซึ่งว่าด้วยเรื่องของกรุงเทพฯ เมืองที่นักเขียนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตและทำงานอยู่นั่นเอง ความน่าสนใจอยู่ที่การดึงเอาบริบทแวดล้อมมาเป็นแรงบันดาลใจในการเขียน จะเห็นถึงมุมมองที่นักเขียนมีต่อสังคม และหากคิดมากหน่อยก็จะเห็นความเป็นจริงของชีวิตและโครงสร้างของสังคมอยู่ในพื้นหลัง

นักเขียนในเล่มนี้ประกอบด้วย ศศิ วีระเศรษฐกุล, องอาจ ชัยชาญชีพ, สุทธิชาติ ศราภัยวานิช, ทรงวิทย์ สี่กิติกุล, ต้องการ, The Duang และ Summer

ธรรมชาติการเล่าเรื่องของการ์ตูนจะประกอบด้วยความเกินจริง (hyperbole) หรือน้อยกว่าความเป็นจริง (understatement) เพื่อลดทอนและขับเน้นสิ่งที่นำเสนอในลักษณะที่ไม่สมจริง เป็นโลกแห่งจินตนาการที่อยู่เหนือความจริง นักเขียนสามารถวาดแต่งเรื่องราวได้อย่างอิสระ แต่การ์ตูนที่ดีก็มักจะเกี่ยวพันกับความเป็นจริงในสังคมอย่างลึกซึ้ง เพียงแต่จะแฝงอยู่ในความเหนือจริงนั้น

อย่างเรื่อง “Going to” ของ ศศิ วีระเศรษฐกุล ใช้ภาพที่ลดทอนมุมมองลงเพียง 2 มิติ จัดองค์ประกอบเรียงกันอย่างง่ายๆ และขยายสัดส่วนเล็กใหญ่ตามความรู้สึก เหมือนสายตาไร้เดียงสาของเด็ก เพื่อถ่ายทอดเสียงเล่าอันบริสุทธิ์ของตัวละคร ซึ่งต้องจากชนบทมาตามหาความฝันในเมือง

เป็นตัวการ์ตูนที่วาดขึ้นมาง่ายๆ ไร้เอกลักษณ์เฉพาะตัว เหมือนจะแทนใครก็ได้ที่คล้ายกัน

ผิดกับเรื่อง “Bangkok Paradise” ของ องอาจ ชัยชาญชีพ ซึ่งตัวละครเป็นมนุษย์ประหลาด มีหัวสี่เหลี่ยมเป็นขนม เขาพยายามปลอมแปลงตัวเอง ด้วยกลัวว่าคนอื่นจะสังเกตเห็นความแปลกประหลาดของตน ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่วาดขึ้นมาหวัดๆ และผู้คนที่เป็นเพียงเค้าโครงไร้อัตลักษณ์ กลับไม่มีใครสนใจใครเลย กระทั่งเกิดเหตุร้ายกับเขาก็ยังไม่มีใครสน

เรื่อง “Bangkok” ของ สุทธิชาติ ศราภัยวานิช ถ่างช่องว่างของการรับรู้ออก มีเพียงถ้อยคำสนทนาทางอินเตอร์เน็ตกับภาพวาดสีน้ำ ซึ่งเป็นโจทย์ของหญิงสาวที่อยู่ห่างไกลให้ชายหนุ่มที่อยู่ในกรุงเทพฯ วาดภาพให้เธอเห็น เป็นกรุงเทพฯ ในสายตาของเขา

คนอ่านจะต้องเชื่อมโยงระหว่างภาพวาดกับบทสนทนาด้วยตนเอง ช่องว่างระหว่างนั้นคือจินตนาการที่นักเขียนได้สอดแทรกการวิพากษ์วิจารณ์สังคมไว้อย่างแหลมคม

เช่นเดียวกับเรื่อง “City of C(V)ulture” ของ ทรงวิทย์ สี่กิติกุล ซึ่งเล่าเรื่องสองมุมมองคู่ขนานกัน ระหว่างคนขับแท็กซี่ที่เพิ่งโกงเงินผู้โดยสาร กับหญิงสาวที่เพิ่งโดนมิจฉาชีพหลอก

ระหว่างคนที่รู้สึกว่า “ถึงจะมาจากต่างจังหวัด แต่ผมก็อยู่ที่นี่นานพอ... นานพอที่จะเป็นคนกรุงเทพฯ” กับคนที่รู้สึกว่า “ฉันอยู่กรุงเทพฯ มาตลอดชีวิต... เพิ่งจะรู้ว่า... ฉันยังรู้จักกรุงเทพฯ ไม่มากพอ...” เมื่อต้องมาพบกัน แล้วใครจะเป็นฝ่ายใจอ่อน

อีกด้านหนึ่ง เรื่อง “BKK © U” ของ ต้องการ ก็บอกเล่าความผูกพันต่อกรุงเทพฯ ของตัวละครหนุ่มสาวที่กำลังจะจากกัน ด้วยลายเส้นสะอาดตาชวนซาบซึ้ง

เรื่อง “Versus” ของ “The Duang” ก็บอกเล่าความสัมพันธ์ของตัวละครที่พบเจอกันในเกมออนไลน์ ด้วยลายเส้นที่หนักแน่นเด็ดขาด ท่ามกลางสภาพแวดล้อมยุ่งเหยิง ตัวละครได้มาพบกันโดยไม่รู้ตัวในเหตุการณ์ที่ไม่คาดหมาย

และเรื่องสุดท้ายคือ “ผมเกิดที่เยาวราช เธออยู่กับน้าที่ปากคลองฯ” ของ Summer เป็นการผูกเรื่องมาจากสิ่งของที่ผู้แต่งนำมาประกอบกันเป็นหุ่นรูปคน อันเป็นของประจำย่านการค้าต่างๆ เช่น เยาวราช วรจักร วังบูรพาฯ คลองถม พลับพลาไชย ปากคลองตลาด พาหุรัด สำเพ็ง ท่าพระจันทร์ พันธุ์ทิพย์พลาซ่า จตุจักร ข้าวของแต่ละอย่างก็สะท้อนสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่รองรับ

นักเขียนในกลุ่มนี้จะมีตัวตนที่โดดเด่น ทั้งลายเส้นและเรื่องเล่า ต่างกันไปตามลักษณะเฉพาะตัว เป็นผลผลิตที่น่าภูมิใจท่ามกลางเงื่อนไขปัจจัยเท่าที่พร้อม หรืออย่างน้อยก็เป็นการแสดงออกของความรักในสิ่งที่ตัวเองทำ.

[พิมพ์ครั้งแรก: Vote]

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น