วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554

มานิต ศรีวานิชภูมิ : ปรากฏการณ์จิตเภทในสังคมบริโภคภาพลักษณ์

ท้าและทาย : ปรากฏการณ์ มานิต ศรีวานิชภูมิ (Manit Sriwanichpoom : Phenomena & Prophecies) / แกลเลอรี่ g23 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 23 เมษายน – 26 มิถุนายน 2554

“Horror in Pink # 3”  ปี 2544, 120x160 ซม.

[“Horror in Pink # 3” ปี 2544, 120x160 ซม.]

หากนึกถึงช่างภาพที่มีบทบาทในปริมณฑลของศิลปะร่วมสมัย สร้างงานซึ่งเป็นที่ยอมรับ และเป็นที่จดจำในฐานะภาพแทนของปรากฏการณ์ทางสังคม นามของ มานิต ศรีวานิชภูมิ ต้องอยู่ในอันดับต้นๆ

เขามีชื่อเสียงมาก่อนในฐานะช่างภาพอาชีพ มีผลงานโดดเด่นในการถ่ายภาพสารคดี ความสนใจและแนวคิดออกไปทางปัญญาชน สนใจปัญหาสังคมและการเมืองในเชิงโครงสร้าง

เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่ม “อุกกาบาต” ซึ่งทำกิจกรรมทางศิลปะในรูปแบบอิสระนอกกรอบเกณฑ์ ด้วยความคิดที่แหลมคมในการบริภาษสังคมอันเสื่อมทราม ท่าทีเสียดสีล้อเลียน และการนำเสนอที่กระตุ้นเร้ารุนแรง เหมือนการพุ่งชนของอุกกาบาต

หากเปรียบกลุ่มอุกกาบาตกับบทบาทของกลุ่มดาดาหรือเซอร์เรียลิสม์ในยุโรปตอนหลังสงครามโลกทั้งสองครั้ง มานิต ศรีวานิชภูมิ คงเปรียบได้กับ แมน เรย์ ช่างภาพประจำกลุ่มและศิลปินคนสำคัญ

มานิตสร้างชื่อในฐานะศิลปินเต็มตัว จากผลงานภาพถ่ายชุด “สงครามไร้เลือด” (This Bloodless War) และ “พิงค์แมน” (Pink Man) ปี 2540 อันเป็นปฏิกิริยาต่อปรากฏการณ์ในสังคมไทยภายหลังวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวอย่างเปราะบางของเศรษฐกิจในยุคโลกาภิวัตน์

มานิตบริภาษสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยการเปรียบเทียบกับสงคราม เป็นสงครามที่ไร้เลือด เห็นเพียงความรุนแรงทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อผู้คนไม่น้อย เขาหยิบยืมภาพข่าวที่คุ้นตาจากสงครามในภูมิภาคอินโดจีน นำมาล้อเลียนด้วยการจัดองค์ประกอบของภาพและท่วงท่าของตัวแบบให้ละม้ายเหมือน ต่างกันที่เครื่องแต่งกายและฉากหลังซึ่งต้องการเสียดสีสังคมทุนนิยม เช่น ภาพเด็กๆ และชาวบ้านพากันวิ่งร่ำไห้หนีระเบิดในเวียดนาม เขาก็นำมาล้อด้วยภาพพนักงานออฟฟิศพากันวิ่งร่ำไห้ไปตามทางรถไฟ โดยมีฉากหลังเป็นตอม่อของโครงการรถไฟลอยฟ้าที่สร้างไม่เสร็จ หรือภาพการสังหารกลางเมืองในกัมพูชา เขาก็นำมาล้อด้วยภาพชายสวมสูทกำลังสังหารชายที่ไม่มีทางสู้ผู้หนึ่งอยู่ข้างถนนในกรุงเทพฯ

เป็นความเปรียบที่เข้าใจง่าย กระทบใจได้ทันที เขายังจัดแสดงงานชุดนี้ด้วยการให้เพื่อนศิลปินแต่งชุดเสื้อคลุมสีขาวพร้อมผ้าปิดปาก เดินเรียงแถวถือกรอบภาพไปตามที่ชุมนุมชน เป็นที่แปลกใจแก่ผู้พบเห็น

เขายังเสียดสีผู้คนในสังคมบริโภคด้วยการสร้างตัวละครพิงค์แมนขึ้นมา โดยให้กวีอย่าง สมพงศ์ ทวี’ เป็นตัวแบบ แต่งชุดสูทสีชมพูทั้งตัว และเดินเข็นรถเข็นสีชมพูไปตามสถานที่ต่างๆ อันเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมบริโภค ด้วยใบหน้าที่ไม่สนใจไยดีอะไรนัก บ้างก็ทำท่าทีเย้ยหยัน หรืออ่านบทกวีที่ไม่มีใครสนใจฟัง

ต่อมาพิงค์แมนก็เป็นตัวละครคู่ขวัญของมานิต ซึ่งร่วมกันเสียดเย้ยสังคมในอีกหลายเรื่อง

มานิตยังคงถ่ายภาพในแนวทางสะท้อนสังคมสม่ำเสมอ และหันมาทำกิจกรรมส่งเสริมคุณค่าของศิลปะภาพถ่าย อย่างทำแกลเลอรี่แสดงงานภาพถ่ายโดยเฉพาะ งานนิทรรศการ “Phenomena & Prophecies” เป็นการแสดงผลงานย้อนหลังของเขา ซึ่งคัดสรรมาเฉพาะงานที่เป็นปรากฏการณ์สำคัญทางสังคมและการเมือง

เริ่มตั้งแต่งานภาพถ่ายและวีดิโอชุด “สงครามไร้เลือด” ที่ยังคงรุนแรงในความรู้สึก แม้อาจจะลืมเลือนที่มาในยุคสมัยนั้นแล้วก็ตาม เพราะความโหดร้ายของทุนนิยมยังอยู่ในสำนึกของผู้คนเสมอ

งานภาพถ่ายและวีดิโอชุด “พิงค์แมน” ก็ยังคงมีพลังในการเสียดเย้ย และเมื่อพิงค์แมนเข้าไปปรากฏตัวอยู่ในภาพข่าวเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองในงานชุด “ปีศาจสีชมพู” (Horror in Pink) ปี 2544 มันก็ยิ่งสร้างความรู้สึกพิพักพิพ่วน ด้วยสีหน้าท่าทางเหมือนเข้าไปเที่ยวชมบริโภคประวัติศาสตร์เหล่านั้น และสะอกสะใจไปกับความรุนแรงที่พบเห็น

จากการเป็นภาพแทนเสียดเย้ยวัฒนธรรมบริโภคนิยม พิงค์แมนขยับมาเป็นภาพแทนวัฒนธรรมอำนาจนิยมในสังคมไทยได้อย่างเหมาะเจาะ ผ่านการเสียดสีความเป็นชาติในงานชุด “Pink, White & Blue” ปี 2548 เป็นภาพพิงค์แมนทำท่าแสนซาบซึ้งและแสนภูมิอกภูมิใจกับธงชาติ พิงค์แมนเข้าไปอยู่ในห้องเรียนและเป็นหัวแถวนักเรียนในชุดลูกเสือโบกธงชาติ นอกจากนี้ยังมีภาพพิงค์แมนนั่งบนเก้าอี้ใช้มือปิดตานักเรียนที่คุกเข่าถือธงชาติอยู่ข้างตัว

และใกล้ๆ กันนั้นก็คืองานชุด “Embryonia” ปี 2550 เป็นภาพเด็กนักเรียนถูกมัดมือมัดเท้านอนอยู่บนผ้าสีแดง สีขาว และสีน้ำเงิน ซึ่งมานิตแจ้งว่าได้จัดท่วงท่าเลียนอย่างภาพลูกแกะที่ถูกมัดนอนอยู่บนแท่นบูชาในภาพเขียนสีน้ำมันของศิลปินสเปน

อีกฟากหนึ่งของห้องแสดงงาน เป็นงานที่มานิตถ่ายในปี 2549 ทั้งหมด และล้วนเป็นภาพขาวดำไร้สีสัน เห็นเพียงอากัปกิริยาของบุคคลในภาพอย่างตรงไปตรงมา ประกอบด้วยงานชุด “Waiting for the King (Standing)” และ “Waiting for the King (Sitting)” เป็นภาพประชาชนที่มารอต้อนรับขบวนเสด็จ งานชุด “Liberators of the Nation” เป็นภาพประชาชนที่มาร่วมชุมนุมทางการเมือง และงานชุด “Coup d’etat Photo Op” เป็นภาพประชาชนที่มาถ่ายรูปกับทหารและรถถังหลังรัฐประหาร

งานทั้งหมดนี้มานิตไม่ได้แต่งเติมหรือชี้นำความคิดใดๆ เพียงแสดงภาพอย่างที่เป็น และปล่อยให้ความจริงอย่างที่ปรากฏบอกเล่าตัวมันเอง

ต่างจากงานชุด “Pink Man Opera” ปี 2552 ที่เขาให้พิงค์แมนไปปรากฏบนโรงลิเก แสดงท่วงท่าร่วมกับตัวแสดงลิเกเพื่อเสียดสีสังคมและการเมือง สะท้อนวัฒนธรรมอำนาจนิยมในสังคมไทยได้อย่างถึงแก่น ผ่านจินตภาพของการประดับประดาตกแต่งแพรวพราวในการแสดงลิเกนั่นเอง และดูเหมือนว่าชุดสีชมพูและท่าทีอวดโอ้โอ่อ่าของพิงค์แมนจะเหมาะกับเวทีลิเกมาก

มานิตใช้ภาพถ่ายเป็นสื่อในการแสดงความคิดของเขา และเล่นล้อกับภาพลักษณ์ในสังคมเพื่อเยาะหยันค่านิยมของชนชั้นกลาง ตลอดจนเสียดเย้ยโครงสร้างอำนาจในสังคม ภาพถ่ายเป็นสื่อที่เหมาะในการเล่นกับความจริงและความหมายแฝง เพราะคุณสมบัติในการบันทึกความเป็นจริงตามที่ตาเห็น

มานิตหยิบยืมและผสมผสานรูปลักษณ์ที่มักคุ้นเข้ากับความหมายใหม่เพื่อแสดงอาการป่วยไข้ของสังคม ทั้งเผยออกมาแบบเกินจริงผ่านจินตภาพที่ผิดเพี้ยนโฉ่งฉ่าง และปล่อยให้ความจริงแสดงตัวออกมาเองอย่างเงียบงัน โดยเขาเป็นเพียงผู้บันทึก

เหมือนจะบอกว่า หากไม่ยอมรับกันเสียก่อนว่ามีปัญหา ก็ยากที่จะรักษาได้สำเร็จ.

[พิมพ์ครั้งแรก: Vote]

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น