วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สุขสันต์ เหมือนนิรุทธ์/สันติภาพ นาโค : เสียงแห่งทุกขารมณ์/เสียงแห่งมนุษยธรรม

โลกของสุขสันต์ : ดินแดนของสันติภาพ / สุขสันต์ เหมือนนิรุทธ์ (สันติภาพ นาโค) / หอศิลป์ g23 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 23 กรกฎาคม – 29 ธันวาคม 2554

พระเจ้าองค์ใหม่, ปากกาบนกระดาษ ปี 2550/2552, 61.5x44 ซม.

[พระเจ้าองค์ใหม่, ปากกาบนกระดาษ ปี 2550/2552, 61.5x44 ซม.]

งานศิลปะเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ของสังคม แต่ไม่ใช่บันทึกข้อเท็จจริง เป็นบันทึกของมโนทัศน์และอารมณ์ความรู้สึกของศิลปิน อันเป็นภาพแทนวัฒนธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง

หอศิลป์ g23 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จัดแสดงนิทรรศการศิลปะ “โลกของสุขสันต์ : ดินแดนของสันติภาพ” รวบรวมงานจิตรกรรมลายเส้นและบทกวีของ สุขสันต์ เหมือนนิรุทธ์ หรือนามแฝง “สันติภาพ นาโค” ซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นในช่วงกว่า 25 ปี ระหว่างปี 2525-2553 งานจิตรกรรมของสุขสันต์อยู่ในแนวแบบที่เรียกกันว่าศิลปะเพื่อชีวิต หรือ Social Realism ซึ่งเน้นสะท้อนปัญหาความเป็นจริงในสังคม อันเป็นแนวนิยมที่แพร่หลายพร้อมกับการตื่นตัวของความคิดเชิงสังคม นับแต่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ปี 2516 เรื่อยมา จนบังเกิดเป็นแบบแผนทั้งทางวรรณกรรม ดนตรี และศิลปะ ซึ่งมีการสร้างสรรค์และทำซ้ำเป็นกลุ่มก้อนทางวัฒนธรรมที่ชัดเจน และยังคงมีบทบาทในสังคมไทยร่วมสมัยสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

งานของสุขสันต์ที่จัดแสดงเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์ในการศึกษาแนวแบบดังกล่าว ทั้งทางทัศนศิลป์และวรรณกรรม เพราะเขาเขียนภาพประกอบบทกวีด้วยปากกา แท่งถ่าน ดินสอ และหมึกดำ เป็นวาดเส้นขาวดำบนกระดาษในรูปแบบเดียวกัน ทำมาอย่างต่อเนื่องร่วม 700 ชิ้น ส่วนหนึ่งเคยตีพิมพ์รวมเล่มเป็นหนังสือ “เพลงขลุ่ยเหนือทุ่งข้าว” ในปี 2526 และได้รับการคัดสรรจัดแสดงในนิทรรศการนี้เอง

ตามประวัตินั้น สุขสันต์ เหมือนนิรุทธ์ เกี่ยวพันใกล้ชิดกับแผนกศิลปะ เทคนิคโคราช หรือปัจจุบันคือคณะศิลปกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลนครราชสีมา ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของนักศึกษาหัวก้าวหน้าในเขตภาคอีสานมาตั้งแต่ยุคแสวงหา มีการเคลื่อนไหวด้านศิลปะและวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนด้วยความคิดเชิงสังคมอย่างกระตือรือร้นในช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา ทั้งในภาคอีสาน และการจัดแสดงคัตเอาท์การเมืองในกรุงเทพฯ กระทั่งโดนกล่าวหาจากเจ้าหน้าที่รัฐว่าเป็นที่ทำการของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และโดนกวาดล้างในช่วงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม ปี 2519

อาจารย์และศิลปินที่มีบทบาทสำคัญในช่วงเวลานั้นคือ ทวี รัชนีกร นักศึกษาที่มีชื่อเสียงในภายหลังก็เช่น พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ, มงคล อุทก, ทองกราน ทานา, สุรพล ปัญญาวชิระ และเทอดเกียรติ พรหมนอก ส่วนสุขสันต์นั้นเป็นนักศึกษาและอาจารย์ในเวลาต่อมา หลังจากโดนจับกุมคุมขังด้วยข้อกล่าวหาทางการเมือง เขาก็ไปเป็นครูสอนศิลปะอยู่ที่ขอนแก่น และทำงานศิลปะสม่ำเสมอ

งานจิตรกรรมที่จัดแสดงในนิทรรศการแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ ชีวิตสุขสันต์ ธรรมสุขสันต์ รักสุขสันต์ และสังคมสุขสันต์ ตามเนื้อหาที่ขับเน้น

งานศิลปะตามความคุ้นเคยย่อมเป็นเรื่องของความสวยงาม แต่ศิลปะเพื่อชีวิตต้องการบีบเค้นความรู้สึกสะเทือนใจด้วยการนำเสนอด้านที่ทุกข์ยากของผู้คน เพื่อมุ่งให้ตระหนักและเกิดการเปลี่ยนแปลง หลักสุนทรียศาสตร์ของศิลปะแนวนี้จึงเน้นหนักไปที่เนื้อหามากกว่ารูปแบบ เป็นเนื้อหาในลักษณะศีลธรรมนิยมที่มีเป้าหมายจำเพาะ มากกว่าที่จะปล่อยให้คิดฝันอย่างอิสระ

ภาพชีวิตคนของสุขสันต์จึงเป็นเรื่องราวของผู้ใช้แรงงาน ชาวนายากจน แม่ค้าเร่ ครอบครัวยากไร้ คนชรา คนตกอับ ธรรมชาติอันโหดร้าย และเมืองที่แออัดทรุดโทรม ลายเส้นวาดด้วยปากกาหรือดินสอขับเน้นน้ำหนักเข้มข้นคมชัดแข็งกร้าว แสดงรูปทรงที่ลดทอน แต่งเติม หรือบิดผันให้เกินจริงไปตามอารมณ์ของเรื่องราว แต่ยังคงเข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน ตามแนวนิยมของศิลปะเพื่อชีวิตที่ต้องการสื่อสารกับคนหมู่มาก

บทกวีของเขาก็ใช้ถ้อยคำเรียบง่ายชัดเจน เป็นร้อยแก้วและร้อยกรองที่เชื่อมสัมผัสกันด้วยฉันทลักษณ์ที่ไม่เคร่งครัดนัก เพียงให้เกิดจังหวะที่คล้องจองและกระชับในใจความ เช่น บท “ขุดดิน”

“ฉันเรียนแค่ชั้นปอสี่ / สิ่งที่มีคือแรงแข็งขยัน / รับจ้างขุดดินทุกวัน / ผิวกร้านหน้าดำคล้ำหมอง / หากินกันตายไร้ค่า / ยากจนทั่วหน้าพี่น้อง / ไร้ทรัพย์สินสิ้นเงินทอง / มีท้องร้องหิวทุกวี่วัน”

เพทนาการที่ปรากฏให้รับรู้และพิสูจน์ด้วยความต่อเนื่องยาวนาน บ่งบอกว่าศิลปินมิได้สร้างงานตามแนวนิยมเท่านั้น แต่เป็นความรู้สึกจริงแท้ของตนเอง ด้วยความต้องการที่จะแสดงสัจจะของชีวิตที่พบเห็น เพียงแต่อาจมองผ่านกรอบความคิดที่ได้ศึกษามาเป็นพื้นฐาน

ดังจะเห็นว่าสุขสันต์ไม่ได้มองความทุกข์ยากของชีวิตด้วยความคิดเชิงสังคมเท่านั้น เขายังมองผ่านกรอบของพุทธปรัชญา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอนิจจัง ความไม่เที่ยงแท้ สภาพและเหตุแห่งทุกข์ กิเลส ตัณหา ความอยาก ความไม่รู้ เรื่องของกรรม ตลอดจนอนิจจัง หรือความว่างเปล่า ความเลวร้ายที่ศิลปินแสดงให้เห็นจึงมิได้มาจากความไม่เป็นธรรมในสังคมอย่างเดียว แต่เป็นแก่นสารในธรรมชาติของชีวิตนั้นด้วย

ภาพเปรียบที่ทรงพลังในเสียงบริภาษยังคงเป็นความไม่เท่าเทียมกันในสังคมนั่นเอง เป็นมโนทัศน์ที่สะท้อนความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นธรรมในระบบการผลิตของสังคม หรือแสดงความขัดแย้งทางชนชั้นอย่างลัทธิมาร์ก เช่น ภาพท่อน้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรมกับผืนดินเกษตรกรรมที่แตกระแหง ภาพท้องถนนในเมืองที่แออัดไปทั้งคนจนคนรวย ภาพคนตกทุกข์ได้ยากน่าสมเพชเวทนา หรือภาพฝูงชนอ่อนล้าเบียดเสียดร้องขอ

การสำรวจชีวิตและสังคมเช่นนี้มิได้กลายเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองดาษดื่น เพราะศิลปินมีความเห็นอกเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์อยู่ในสำนึก หรืออาจเรียกว่าเป็นมนุษยธรรมของเขาเอง มากกว่าที่จะทำขึ้นด้วยเป้าประสงค์อื่นใด ดังเช่นภาพที่เขาสะท้อนความรักในหมู่ผู้ยากไร้ออกมาได้อย่างงดงามในอารมณ์ ด้วยความขัดตาระหว่างสภาพที่ทรุดโทรมกับความอ่อนโยนที่ปรากฏออกมา ทั้งความรักของแม่กับลูก ความรักของคู่ชีวิต ความรักของครอบครัว หรือความรักของครูที่มีต่อศิษย์

บางส่วนที่กล่าวถึงอำนาจและการเมืองด้วยความเข้าใจประสบการณ์ชีวิตมีความเป็นสากลไม่น้อย แนวคิดทางสังคมและการเมืองของสุขสันต์ไม่โดดเด่นเท่าน้ำเสียงเชิงมนุษยธรรม สัญลักษณ์ที่ใช้ยังทำซ้ำอยู่ในแนวขนบที่คุ้นตา อย่างมุมมองต่อนักการเมือง ทหาร หรือการต่อสู้ของประชาชน ภาพวาดเส้นและบทกวีส่งเสริมซึ่งกันและกัน และมีความคมชัดไม่ด้อยไปกว่ากัน

ความจริงในงานศิลปะนั้นไม่ใช่ข้อเท็จจริง แต่เป็นประสบการณ์และทักษะส่วนบุคคลของศิลปินที่แสดงออกผ่านเครื่องมือของตน ประวัติศาสตร์ของสังคมในงานศิลปะจึงเป็นประวัติศาสตร์ของแบบแผนทางศิลปะ และความหมายในเชิงวัฒนธรรมของตัวมันเอง.

[พิมพ์ครั้งแรก: Vote]

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น